posttoday

เรียกเธอว่า Young & Inspiring Leader

25 สิงหาคม 2562

โดย ดิลก ถือกล้า

เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผมได้ลงเรียนหลักสูตรด้านการพัฒนาตนเองอยู่หลักสูตรหนึ่ง ที่ต้องใช้เวลาเรียน 7 วัน เป็นห้องที่คนเรียนไม่มาก ทำให้ใกล้ชิดสนิทกัน ส่วนใหญ่คนที่มาเรียน ต่างมีประสบการณ์พอสมควร เป็นรุ่นอายุเฉลี่ย 40 ปีกว่าๆ แต่มีผู้เข้าร่วมหลักสูตรคนหนึ่ง ที่มีอายุเพียง 28 ปี เป็นเด็กสาวที่หน้าตายังอ่อนเยาว์ แต่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ทำให้ผมสนใจ ได้หาโอกาสนั่งคุยกับเธอนอกรอบ

ผมได้รู้จักว่าเธอชื่อฟ้า หรือชื่อเต็มๆคือ “เอกรดา ภูนาถภัทรสิน”จากการได้แลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นกัน ผมทึ่งกับประสบการณ์ วิธีคิดต่อชีวิต การทำงาน และได้เรียนรู้หลายๆอย่างจากเธอ ในฐานะเป็นผู้นำสูงสุดขององค์กร ทำให้ผมอยากจะเขียนถึงเธอในฐานะของการเป็นผู้นำที่อายุน้อย แต่ได้นำพาองค์กรไปได้อย่างน่าสนใจ

โดยปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งกรรมาผู้จัดการ (Managing Director) ของบริษัท MitsDecisions Company Limited เป็นอู่ต่อเรือซ่อมเรือเหล็กและอลูมิเนียม ตั้งอยู่ติดแม่น้ำท่าจีน ก่อตั้งในปีเมื่อปี 2529 โดยคุณพ่อของเธอคือคุณปภิเกตุ ภูนาถภัทรสิน โดยก่อนหน้านั้นคุณปู่ทำธุรกิจต่อเรือไม้มาก่อน ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้มีพนักงานประจำประมาณ 100 คน มารู้จักเธอและการต่อสู้ทางธุรกิจของหญิงสาววัย 28 ปีไปด้วยกันนะครับ

คุณฟ้าเล่าว่า เธอมีพี่น้องสามคนโดยเธอเป็นคนโต เรียนระดับมัธยมที่ Harrow International School แล้วเรียนต่อระดับปริญญาตรี Multimedia Design ที่ Silpakorn International College และปริญญาตรีอีกใบจาก Birmingham City University จากนั้น เรียนต่อปริญญาโทด้านธุรกิจ ที่ Regent University ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ การเข้ามารับตำแหน่งผู้นำในองค์กร เป็นไปอย่างไม่ได้วางแผน และกระทันหันมาก 

เธอบอกว่า"ฟ้าเข้ามาทำอย่างไม่ได้ตั้งตัวเลยคะ คุณพ่อเสียชีวิตเมื่อ 3 ปีที่แล้วเนื่องจากลิ่มเลือดอุดตันขั้วหัวใจเฉียบพลัน เรียกได้ว่านั่งๆอยู่แล้วก็จากไปภายใน 1 นาที เรียกได้ว่าช็อคพอสมควรเพราะคุณพ่อสุขภาพแข็งแรงดีออกกำลังกายทุกวัน ตอนนั้นฟ้าอายุเพิ่ง 26 กำลังเริ่มที่จะทำธุรกิจอาหารให้คุณแม่อยู่ ไม่ได้มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญอะไรกับธุรกิจการต่อเรือเลยคะ”

ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายไม่ใช่น้อยสำหรับหญิงสาวที่เวลานั้นเพียงวัย 26 ปีและไม่มีประสบการณ์เลย พอผมถามว่า อะไรที่เป็นความท้าทายของเธอในการเข้ามารับตำแหน่งในตอนนั้น เธอบอกว่า

“ความท้าทายอย่างแรกเลยคือ เป็นเรื่องของ Credit Risk ที่เรายังเด็กและเป็นผู้หญิงด้วย เราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งตัวลูกค้าและลูกน้องของเราภายในระยะเวลาที่รวดเร็ว ยิ่งด้วยสายงานที่เป็นสาขาเฉพาะทาง ทำให้ฟ้าต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างมาก ความท้าทายอย่างที่สองคือ ต้องศึกษาทุกอย่างอย่างละเอียดทั้งเรื่องการวางแผนและการบริหารงานที่แตกต่างกันในแต่ละโครงการ

ความท้าทายอย่างที่สาม คือ การต้องเข้าใจการออกแบบเรือและโครงสร้างเรือ ศึกษาเรื่อง Stability and Damage Cause กฏระเบียบต่างๆตามชั้น IACS CLASS และจากกรมเจ้าท่า รวมถึงการปฏิบัติหน้างานจริงอย่างเช่นการประกอบตัวเรือ, การเชื่อม, ขั้นตอนต่างๆในการทำสีเรือ, รวมถึงระบบไฟและการวางเครื่องยนต์ เพลา ใบจักร ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับฟ้ามาก”

ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ตรง ไม่มีคุณพ่อที่คอยเป็นพี่เลี้ยง สิ่งที่เธอต้องทำ และทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ การเข้าไปเรียนรู้งานด้วยตนเองในทุกเรื่อง ในทุกขั้นตอนของงาน ลงไปในรายละเอียดงาน แม้แต่การลองลงไปทำงานเชื่อม งานที่ใช้แรงงานด้วยตนเองเพื่อให้เข้าใจทุกเม็ดของงาน แต่สิ่งที่ผมสนใจมากที่สุด คือ เธอใช้ภาวะผู้นำแบบไหนที่จะสร้างการยอมรับจากคนในองค์กรที่มีจำนวนไม่น้อยเป็นรุ่นพ่อรุ่นน้ารุ่นลุง เธอเล่าให้ฟังว่า

“ฟ้าบริหารองค์กรเหมือนคนในครอบครัวคะ ต้องมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความเด็ดขาด จะต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อองค์กร (Have to do what’s best for the company) ซึ่งนำมาซึ่งการเติบโตอย่างมั่นคง ฟ้าไม่ชอบบังคับลูกน้องเพราะงานจะออกมาไม่ดี ฟ้าชอบเปรียบเทียบและให้ข้อมูลทั้งข้อมูลขั้นต้นและข้อมูลที่เป็นข้อมูลชั้นสอง(Secondary Data) เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่เราแนะนำมันดีกว่าในเชิงปฏิบัติ แต่ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปนะคะ ช่วงนั้นก็ต้องบริหารความควาดหวังของตัวเองเหมือนกัน แต่พอเขาได้เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจเขาก็จะเข้าใจได้เอง พอได้ใจลูกน้องแล้วทุกอย่างก็คุยง่ายคะ โชคดีที่ลูกน้องเราส่วนใหญ่พร้อมที่จะรับฟังและปรับตัวเพื่อการพัฒนาขององค์กรคะ”

สิ่งที่ผมชอบในสิ่งที่เธอทำกับทีมคือการให้ความสำคัญในการสื่อสารกับทีม เธอบอกว่า

“ฟ้าจะให้ความสำคัญกับลูกน้องมาก ตอนที่คุยกับลูกน้องจะไม่เล่นโทรศัพท์หรือ สนใจอย่างอื่นมากกว่าพวกเขา จะฟังในสิ่งที่เขาพูดและได้ยินในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้พูด”

ผมถามว่า เธอมองเห็นตัวเองว่าเป็นผู้นำแบบไหน คำตอบที่ได้น่าสนใจและน่านำไปปรับใช้อย่างมาก

“ฟ้ามองว่าตัวเองป็นผู้นำแบบติดดิน จะเดินไปในสนาม ไม่ว่าลูกน้องเราจะตำแหน่งเล็กแค่ไหน ทุกคนกล้าที่จะคุยหมด เวลามีปัญหาอะไรลูกน้องจะกล้าเข้าหาฟ้า พวกเค้าคือคนที่ทำงานให้เรา อุปกรณ์เครื่องมืออันไหนไม่ดีลูกน้องกล้าบอก กล้าขอเราหมด ฟ้าว่ามันดีกับผลงานที่ออกมา คำว่าผู้นำสำหรับฟ้าคือผู้ที่จุดประกายคนได้ และนำพาเขาให้ไปในทางที่เราต้องการได้ แต่ฟ้าจะเป็นสาย Hardcoreหน่อย (เธอพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ) ชอบพูดปลุกระดม ตั้งแต่ตื่น ฟ้าจะฟังคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจที่ปลุกตัวเองมาก่อน พอถึงที่ทำงานก็จะปลุกระดมทั้งบริษัท ส่งต่ออารมณ์ไปถึงพวกเขา เขาจะได้รู้ในทุกวันว่าทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร และมันมีคุณค่ากับตัวเขาและคนอื่นแค่ไหน

ส่วนตัวที่เสริมสภาวะผู้นำของฟ้า น่าจะเป็นเรื่องความรู้,ประสบการณ์และการต่อยอดในสายงานคะ ถ้าเรารู้ทุกอย่างโดยปราศจากข้อกังขา ก็จะเสริมความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและตอบโจทย์ทุกปัญหาได้ และเราต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาองค์กรให้ก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป”

ผมสงสัยเรื่อง Generation Gap ที่น่าจะมีมากในองค์กรของเธอ เธอมีมุมมองว่า

“Gen X and Gen Y ที่นี่มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคะ ทุกรุ่นก็จะมีข้อดีข้อด้อยเป็นธรรมดาที่เราต้องพยายามดึงออกมาใช้ให้ถูกต้อง Gen X จะมีความอดทนสู้งาน มีประสบการ์ณ ส่วน Gen Y ก็จะเป็นพวกทำงานเป็นระบบ มีความมุ่งมั่นและมีหัวคิดสร้างสรร ส่วนตัวฟ้าเชื่อเรื่องสมดุล ฟ้าจึงค่อยๆวางกลุ่ม Gen Y เข้าไปในทุกส่วนงานขององค์กรให้อยู่ที่สัดส่วน 60:40 ที่ฟ้าเชื่อว่าจะสร้างความสมดุลให้กับองค์กรเรา
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เราต้องเข้าใจสิ่งที่เขาคิด รับรู้ว่าทั้งชีวิตเขาเจออะไรมาบ้าง อะไรคือแรงจูงใจอะไรคือสิ่งที่เป็น ตัวอุปสรรคขัดขวางสำหรับเขา โดยฟ้าต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับคนทุกรูปแบบซึ่งมีบุคลิคภาพที่ต่างกัน แล้วกดให้ถูกจุดเพราะแต่ละคนมีความต้องการมีแรงขับที่ต่างกัน”

เธอเล่าถึงความฝันสำหรับองค์กรของเธอด้วยดวงตาที่เป็นประกายว่า เธอมีความฝันหลายอย่าง เป็นต้นว่า อยากทำให้บริษัทมีความเจริญเติบโตอย่างมั่นคง ลูกน้องทุกคนมีความเจริญเติบโตในชีวิต ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สร้างบริษัทลูกเพื่อต่อยอดธุรกิจของบริษัทออกไป มีการร่วมทุนกับอู่ต่อเรือต่างประเทศรวมถึงท่าเรือต่างๆ เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของเรือแต่ละประเภท เป็นต้น ความภูมิใจที่เธอได้ทำมาถึงตอนนี้ คุณฟ้าบอกว่า ช่วงที่ตนเองภูมิใจที่สุด คือ เกิดขึ้นเวลาในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดทุกครั้ง ภูมิใจที่ทำภารกิจที่เรียกว่า “เป็นไปไม่ได้ (Mission Impossible) ให้ “เป็นไปได้” คุณฟ้าบอกอีกว่าเธอภูมิใจที่ลูกน้องเคารพและไว้ใจให้พาองค์กรเดินหน้ามาได้จนถึงทุกวันนี้ ภูมิใจที่ได้เสียสละสิ่งที่เป็นของ “ตัวเธอเอง”เพื่อรักษาสิ่งที่เป็นของ “เรา” ภูมิใจที่ได้มองดูลูกน้องแล้วพวกเค้ามีชีวิตที่ดีขึ้น ความภูมิใจอย่างที่สุดของเธอ คือ การที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเองอีกแล้ว

ในตอนท้ายของการพูดคุยกัน ผมขอให้คุณฟ้าบอกความในใจกับคนในองค์กรของเธอ เธออยากบอกกับทุกๆคนว่า

“ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ทุกวันตอนทานข้าวเย็นพ่อจะบ่นเรื่องเศรษฐกิจกับบ่นลูกน้อง แต่ทุกครั้งที่บ่นลูกน้องพ่อจะอมยิ้มทุกครั้ง ฟ้าก็สงสัยและยุให้พ่อขายบริษัทมาตลอด แต่พ่อพูดตลอดว่าทำไม่ได้ เพราะพ่อรักคนของพ่อมาก ตอนนั้น ฟ้าไม่เคยเข้าใจจนวันที่ฟ้าได้เข้ามายืนตรงจุดนี้และวันนี้ฟ้าเข้าใจแล้ว อยากจะบอกกับทุกคนที่บริษัทว่า ขอบคุณมาก ขอบคุณที่สู้อยู่ด้วยกันในทุกเหตุการณ์ที่เลวร้าย ขอบคุณที่ทำงานอย่างทุ่มเท เสียสละทั้งหยาดเหงื่อและน้ำตาให้กับฟ้า จะมีใครโยนเราเข้าไปในฝูงหมาป่า แต่เราจะกลับออกมาอย่างเป็นจ่าฝูง เราจะสู้ไปด้วยกันทั้งวันที่สุขและทุกข์ ในทุกวันที่เราแข็งแรงเราจะเติบโตไปด้วยกัน แต่วันไหนที่เราอด ฟ้าจะกินข้าวเป็นคนสุดท้าย”

และประโยคทิ้งท้าย ที่เธอเปรยกับผมคือ “Making money is fun, but making impact is meaningful”
เธอบอกว่าการสร้างผลกำไรการทำเงินมันก็เป็นเรื่องสนุก แต่การได้สร้างอะไรที่เกิดผลกระทบในวงกว้าง มันจะมีความหมายยิ่งกว่านี่คือ ความคิดของผู้นำรุ่นใหม่ ที่ทำให้คนที่ทำงาน มีประสบการณ์ผ่านอะไรมามากมายอย่างผม ยังต้องฟังและเรียนรู้หลายอย่างจากเธอ