posttoday

เจาะตู้เซฟคณะสงฆ์ “เงินกองทุนวัดช่วยวัด”

12 เมษายน 2563

โดย อุทัย มณี

***********

ในวงการคณะสงฆ์ ในขณะที่พระสังฆาธิการทุกระดับชั้นเหน็ดเหนื่อยในการประสานงานกับทุกฝ่ายทุกภาคส่วนกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการตั้งโรงทานสนองพระดำริของสมเด็จพระสังฆราช

ฉับพลันเมื่อกลางสัปดาห์จู่ ๆ มี ข่าวว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะตัดนิตยภัตพระสงฆ์ 2 เดือน เพื่อเข้ากองทุน “วัดช่วยวัด” ท่ามกลางความงงงวยของพระสังฆาธิการทั่วประเทศ เพราะทุกปีพระสังฆาธิการทุกระดับชั้น ตั้งแต่เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ที่ไม่มีสมณสมศักดิ์ที่เราเรียกกันว่า “พระอธิการ” ได้รับนิตภัตรเดือนละ 1,800 บาท จนถึงสมณศักดิ์สูงสุดคือ “สมเด็จพระสังฆราช” ซึ่งได้นิตยภัตเดือนละ 34,200 บาท ถูกโอนบริจาคเข้ากองทุนวัดช่วยวัดตามระเบียบมหาเถรสมาคมว่าด้วยกองทุน "วัดช่วยวัด" พ.ศ.2562 อยู่แล้ว

แม้ตอนหลังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะออกมาแก้ข่าวเรื่องตัดนิตยภัตพระสงฆ์ว่า ไม่จริง

การเกิดระบาดเชื้อไวรัสโควิดคราวนี้ พระสังฆาธิการจำนวนมากเรียกร้องให้มหาเถรสมาคมใช้กองทุนวัดช่วยวัดมาช่วยวัดที่ประสบภัย เพราะวัดจำนวนมาก พระบิณฑบาตไม่ได้ กิจนิมนต์งดทุกอย่าง กิจกรรมภายในวัดงดทุกประเภท

หลังเกิดกระแสจะตัดนิตยภัตพระสงฆ์ ถูกคณะสงฆ์วิพากษ์วิจารณ์ถึง “ความโปร่งใส ความชัดเจนและท่านใดคุมเงินกองทุนซึ่งคาดว่ามีจำนวนนับร้อยล้านบาทก้อนนี้อยู่”

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ออกหนังสือเวียนไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ให้สำรวจวัดที่ได้รับความเดือดร้อนและขาดแคลนภัตตาหาร ของจำเป็นที่จะต้องใช้ในชีวิตประจำวันของพระสงฆ์ พร้อมกับขอความช่วยเหลือจากเจ้าคณะจังหวัดหรือเจ้าคณะภาค ทดรองจ่ายให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นไปก่อนในวงเงินครั้งละไม่เกิน 100,000 บาท หลังจากนั้นให้เบิกจ่ายกองทุน "วัดช่วยวัด" ต่อไป

หากย้อนกลับไปดู “กองทุนวัดช่วยวัด” ก่อน พ.ศ.2545 ตั้งแต่ยังไม่มีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งแต่มหาเถรสมาคมทำงานร่วมกับ “กรมการศาสนา”

มีการปรับเปลี่ยนผู้ดูมีอำนาจในการเบิกจ่ายเรื่อยมา ล่าสุด ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 เลขาธิการมหาเถรสมาคม เสนอว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานที่ประชุม ทรงปรารภว่า การช่วยเหลือพระภิกษุสามเณรที่ประสบภัยธรรมชาติและอุบัติภัย ไม่ทันต่อเหตุการณ์ เพราะไม่สามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุน “วัดช่วยวัด” ได้ เนื่องจากผู้มีอำนาจในการเบิกจ่ายเงินกองทุนเดิม คือ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ ซึ่งปัจจุบันได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช และ พระพรหมเวที ได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์ เป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ แล้ว จึงขอ “เปลี่ยนลายมือชื่อผู้มีอำนาจในการเบิกจ่ายเงิน” จาก สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เป็น พระวิสุทธิวงศาจารย์ วัดปากน้ำ และจาก พระพรหมเวที เป็น พระพรหมมุนี (ปัจจุบันคือ สมเด็จมหาวีรวงศ์) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 22/2562 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 ที่ประชุมได้มีมติแต่งตั้งประธานกรรมการ และรองประธานกรรมการกองทุน “วัดช่วยวัด” ตามระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยกองทุน “วัดช่วยวัด” พ.ศ.2562 คือ พระวิสุทธิวงศาจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม วัดปากน้ำ กรุงเทพมหานคร เป็นประธานกรรมการ และ พระพรหมมุนี (ปัจจุบันคือ สมเด็จมหาวีรวงศ์) กรรมการมหาเถรสมาคม วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร เป็น รองประธานกรรมการ

เพราะฉะนั้น พระสังฆาธิการจำนวนมาก ไม่รู้ว่ากองทุนวัดช่วยวัดมีเงินอยู่จำนวนเท่าไร ใครกุมบัญชีหรือใครมีอำนาจในการสั่งเบิกจ่ายให้ใช้กองทุนนี้ ตอนนี้คงทราบแล้วว่า รูปใดคือประธาน รูปใดคือคนมีอำนาจในการเบิกจ่าย..กองทุนวัดช่วยวัด

ส่วนประธานสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดยานนาวา ที่ได้รับมอบหมายจากมหาเถรสมาคม ให้มีหน้าที่ช่วยเหลือพระภิกษุสามเณรหรือวัด ที่ประสบภัยธรรมชาติและอุบัติภัย หากไม่มีเงินก็ไปขอจาก “กองทุนวัดช่วยวัด” นี้ได้ แต่ท่านจะให้หรือไม่ให้นั่นอีกเรื่อง ซึ่งความจริงในมหาเถรสมาคมต้องออกมติมาว่า รูปใดทำงานด้านสาธารณสงเคราะห์เงินก้อนนี้จะต้องไปอยู่กับรูปนั้น ไม่งั้นการทำงานการช่วยเหลือก็ล้าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ดังพระดำริสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงปรารถเอาไว้

คนทำงานไม่ได้จับเงิน คนมีเงิน ไม่ได้ทำงาน งานก็เลยไม่เดิน พระสังฆาธิการที่สละเงินนิตยภัตทุกปี ก็ไม่รู้ว่าเงินจำนวนร้อยกว่าล้านบาทอยู่กับใคร ที่ไหน ใช้จ่ายอะไรบ้าง ดีนะเงินฟรี..ไม่งั้นอาจมีแรงกระเพื่อมมากกว่านี้