posttoday

พระผู้เป็นแสงสว่าง แห่งสุไหงปาดี

10 กุมภาพันธ์ 2562

วันที่ 18 ม.ค. 2562 เวลาพลบค่ำ เสียงสุดท้ายของท่านคือ “มันมาอีกแล้ว” หลังจากนั้น เสียงที่ดังขึ้นในยามค่ำคืนคือเสียงปืนในกำแพงวัด ร่างของพระนักพัฒนาร่วงลงจีวรชุ่มไปด้วยเลือด

โดย...พระครูปลัดสุวัฒนวชิรคุณ วัดยานนาวา

วันที่ 18 ม.ค. 2562 เวลาพลบค่ำ เสียงสุดท้ายของท่านคือ “มันมาอีกแล้ว” หลังจากนั้น เสียงที่ดังขึ้นในยามค่ำคืนคือเสียงปืนในกำแพงวัด ร่างของพระนักพัฒนาร่วงลงจีวรชุ่มไปด้วยเลือด แต่เสียงที่ดังยิ่งกว่าเสียงปืนคือเสียงจากหัวใจ “ผมรู้ว่าสักวันหนึ่งต้องเป็นอย่างนี้ แต่มันคือบ้าน บ้านที่ผมรัก จะไม่ขอเลิกทำความดี ผมไม่หนี ผมถือว่า ตรงนั้นเป็นแผ่นดินไทย ปู่ ย่า ตา ยาย ผมเป็นคนพุทธเกิดตรงนี้ ขอตายตรงนี้” เสียงจากหัวใจของพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ เจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี เจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ ต.โต๊ะเด็ง อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ผู้เป็นดุจแสงสว่างส่องธรรมในสุไหงปาดี พระนักพัฒนาร่างเล็กแต่หัวใจใหญ่

“เราทุกคนควรจะรักษาคุณงามความดีที่เรามีให้แก่กันและกันไว้ให้คงอยู่ตลอดไป เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นพลังสำคัญที่จะทำให้ชุมชนของเราเข้มแข็ง และความสันติสุขก็จะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ได้ในเร็ววัน”

พระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส หรือที่ชาวบ้านเรียกด้วยความเคารพว่า พ่อท่านอ่อน มีบทบาทในการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างไทยพุทธ-มุสลิมในพื้นที่ รวมถึงชาวมาเลเซียให้อยู่ร่วมกัน แม้มีความแตกต่างในเรื่องศาสนา วัฒนธรรมและความเชื่อ จนได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูง ถักทอความสมัครสมานสามัคคีระหว่างชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม ดังนามที่สาธุชนถวายท่านว่า “พระผู้เป็นกาวใจพุทธ-มุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” ได้ปรารภไว้เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2562 ในโอกาสทำบุญอายุวัฒนมงคล 81 ปี ของท่าน

หลังจากเสียงพ่อท่านอ่อนดังไม่นาน การมรณภาพของพระผู้เป็นแสงสว่างแห่งสุไหงปาดีก็ตามมา นับว่าเป็นเสียงระฆังปลุกความสามัคคีของชาวพุทธ เพราะเป็นการสูญเสียพระนักพัฒนา โดยท่านตั้งใจมากจนถึงขนาดลงมือสร้างวัดรัตนานุภาพ บ้านโคกโก อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ด้วยหัวใจที่หนักแน่นพร้อมศรัทธาของญาติโยมอุปถัมภ์ เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงในบ้านเกิดของท่าน

พระผู้เป็นแสงสว่าง แห่งสุไหงปาดี

นับเป็นปณิธานที่ประเสริฐสูงสุดที่ว่า “ถ้าไม่ตายไม่ขอเลิกทำความดี ชีวิตผมเกิดมาชาติหนึ่ง ได้สร้างวัดด้วยตนเองถวายเป็นพุทธบูชา ผมมาอยู่ที่นี่ (บ้านโคกโก) ตั้งแต่ยังไม่มีอะไร ผมเริ่มสร้างศาลาหลังแรกคือ ศาลาการเปรียญ (ศาลาโรงธรรม) ใช้ชื่อว่า ธรรมานุภาพ แล้วสร้างศาลาโรงฉัน ใช้ชื่อว่า สังฆานุภาพ สิ่งที่ผมจะสร้างเป็นสิ่งสุดท้ายคืออุโบสถ เป็นพุทธานุภาพ รวมทั้งหมดเข้าด้วยจึงเป็น วัดรัตนานุภาพ”

เมื่อท่านถูกกลุ่มคนร้ายบุกเข้ายิงท่านจนถึงแก่มรณภาพในวัด นับว่าเป็นการสูญเสียพระภิกษุที่อุทิศตนด้วยวิถีแห่งชาวพุทธด้วยความสงบสันติเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งสำคัญ

การสูญเสียพระดีแห่งสุไหงปาดีครั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2562 พระเดชพระคุณ พระพรหมวชิรญาณ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม พร้อมคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ พระสงฆ์สมณศักดิ์ พระเถรานุเถระ ข้าราชการ ทานบดี สาธุชน นิสิต นักศึกษา นักเรียนไทยพุทธและมุสลิมจำนวนกว่า 3,000 รูป/คน ร่วมบำเพ็ญกุศลสัตตมวารและร่วมบรรจุศพเก็บศพ พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ และพระสมุห์อรรถพร กุสลจิตฺโต ไว้เป็นเวลา 1 ปี เพื่อเตรียมการพิธีพระราชทานเพลิงศพต่อไป

ในนามคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม ขอน้อมถวายความอาลัยต่อพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ และพระสมุห์อรรถพร กุสลจิตฺโต ด้วยการนำศาสนกิจและอนุสาวรีย์ชีวิตท่านมาเผยแพร่แก่สาธุชนเพื่อประกาศสดุดีพระผู้เป็นแสงสว่างแห่งสุไหงปาดี

1.ในความเป็นพระนักปกครอง

ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี บริหารกิจการคณะสงฆ์ปกครองพระภิกษุสามเณรในเขตปกครองด้วยพระธรรมวินัย กฎ ระเบียบ ประกาศมหาเถรสมาคม เอื้อเฟื้อเมตตาต่อพระภิกษุสามเณรผู้จำพรรษาในพื้นที่ เกื้อกูลต่อพุทธศาสนิกชน สนองงานคณะสงฆ์ตามแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาบูรณาการงานในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

พระผู้เป็นแสงสว่าง แห่งสุไหงปาดี

2.ในความเป็นพระนักศาสนสัมพันธ์

เครือข่ายเยาวชนรักษ์ป่าบูโด ปรารภถึงท่านอย่างอาลัยว่า ท่านพูดมลายูได้เพราะเป็นเด็กในหมู่บ้านอิสลาม ท่านโตกับเพื่อนมุสลิม และท่านมักไปเยี่ยมและช่วยเหลือเพื่อนมุสลิม ท่านมีครูมุสลิม ท่านก็จะถืออินทผลัมไปฝากครูมุสลิมเป็นประจำ ท่านทำงานเยาวชนให้กับเด็กมุสลิม ท่านก็จะเลี้ยงไอติมให้กับเด็กมุสลิมในค่ายทุกครั้ง ท่านจบจากโรงเรียนบ้านเจ๊ะเด็ง มีแต่เด็กมุสลิม และท่านก็ไปเลี้ยงข้าวหมกให้กับเด็กมุสลิมในโรงเรียนเดิมของท่าน ท่านมีเพื่อน
ชื่่อมะ ที่เป็นมุสลิมซึ่งชอบดูนก และอนุรักษ์สัตว์ต่างๆ ท่านก็จะเรียนรู้การดูนกกับมะ และค้นคว้าเรื่องสัตว์อื่นๆ เพื่อช่วยเหลือสัตว์ที่มีคนเอาไปทิ้งที่วัด ท่านทำอะไรมากมายที่หน้าที่ “มนุษยชาติ” คนหนึ่งที่ทำดีเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ ไม่เลือกชนชั้น วรรณะ ศาสนา

3.ในความเป็นพระธรรมทูตอาสา

ท่านบอกสาเหตุอีกอย่างที่ทำให้ท่านไม่ยอมไปไหนให้พระมหาอภิชาติ ธมฺมาภินนฺโท วัดทองนพคุณ ผู้ประสานงานพระธรรมทูตอาสาว่า “ในชีวิตผมไม่อยากได้ยินคำว่า มีวัดร้างในพื้นที่ที่ผมอยู่ เคยมีช่วงหนึ่ง มีวัดหนึ่งชาวบ้านไม่มีที่พึ่ง อยากทำบุญ อยากฟังธรรม แต่ไม่มีพระ ผมคุยกับชาวบ้านโคกโกว่า วันพระช่วงเช้าจะไปที่โน้นให้ชาวบ้านได้ทำบุญ ต้องเดินเท้าไปแต่ช่วงเย็นของอีกวัน ไปถึงก็ดึก ตื่นเช้ามาชาวบ้านทำบุญเสร็จ ก็ต้องรีบเดินทางกลับมาให้ทันเพลที่วัดโคกโก เพราะชาวบ้านรออยู่ ท่านมหาลองนึกภาพดู มีวัดแต่ไม่มีพระอยู่ เจ็บปวดใจนะ คนเฒ่าคนแก่มาวัด เห็นจีวรตากหน้าศาลาก็ยังอุ่นใจ ถ้าไม่มีพระสงฆ์ทำหน้าที่ นั่นหมายถึงลมหายใจของพระพุทธศาสนาหมดไปแล้ว ท่านพูดย้ำให้ฟังตลอดว่า พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่รักสูงสุดของผม ลมหายใจที่มีอยู่ขอถวายเป็นพุทธบูชาและขอทำความดีเพื่อพระพุทธศาสนาจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ” ท่านยืนหยัดในดินแดนแห่งนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ญาติโยมและเป็นการต่อลมหายใจของพระพุทธศาสนา

พระผู้เป็นแสงสว่าง แห่งสุไหงปาดี

4.ในความเป็นพระนักสาธารณสงเคราะห์

โยมพ่อของท่าน เปิดเผยว่า ลูกชายได้ตัดสินใจบวชเป็นพระตั้งแต่อายุ 20 ปี และไม่ยอมสึก รวมพรรษาทั้งหมด 26 พรรษา โดยบวชอยู่ที่วัดโคกโกมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ตอนที่วัดยังเป็นเพียงแค่วัดเล็กๆ ไม่มีโบสถ์ พระลูกชายได้พัฒนาวัดจนได้รับความศรัทธาจากญาติโยม ตนยอมรับว่ารู้สึกเสียใจมาก และยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกันนี้หลานสาวของท่านได้โพสต์อาลัยผ่านเฟซบุ๊กว่า

“สิ้นสุดเสียงปืนเงียบลง กลับกลายเป็นเสียงร้องไห้เหมือนจะขาดใจของคนทั้งหมู่บ้าน ใจลูกแตกสลายเมื่อรู้ว่าหลวงอาสิ้นแล้ว รัตนานุภาพสูญเสียจนหมดสิ้น ที่พึ่งทางใจของชาวบ้านโคกโก หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบ ร่มเย็น กลับโดนคนใจบาปทำลายจนสูญสิ้นแค่เพียงไม่กี่นาที” ก่อนตัดสินใจกลับลงมาทำงานที่บ้านเกิดตัวเอง บอกเลยตอนนั้นมีแต่ความกลัว ไม่กล้ากลับมา พอหลวงอารู้ข่าวว่าเราไม่กล้ากลับมา จึงฝากบอกกับแม่ให้บอกเราว่ากลับมาเถอะ กลับมาอยู่บ้านเรา ไม่ต้องกลัวอะไร และหลวงอาก็เป็นคนที่เดินทางไปส่งเราพร้อมกับพ่อและแม่ที่โรงเรียนในวันแรกที่เราเข้าไปทำงาน “แต่ในวันนี้ที่ที่เราคิดว่าปลอดภัยที่สุดในชีวิตของเรา กลับกลายเป็นที่ที่เราต้องอยู่ไปด้วยความหวาดระแวงและความกลัว เราต้องสูญเสียที่พึ่งทางใจ น้ำตาแทบเป็นสายเลือดกับการสูญเสียครั้งนี้ เราทำใจยอมรับไม่ได้กับการสูญเสียครั้งนี้ ขอความสงบสุขกลับมาสู่สามจังหวัดชายแดนใต้ด้วยเถิด บ้านโคกโกบ้านเกิดฉัน”

พระผู้เป็นแสงสว่าง แห่งสุไหงปาดี

การมรณภาพของท่านพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ นำมาซึ่งความโศกเศร้าของชาวพุทธและมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยทางฮิวแมนไรตส์วอตช์ ซึ่งเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ประณามกลุ่มก่อความไม่สงบ ขณะที่มีประชาชน ผู้นำศาสนา และอาสาสมัครกว่า 5.55 หมื่นคน ร่วมเดินรณรงค์ต่อต้านการใช้ความรุนแรง

ท่านพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ ได้ก่อร้างสร้างอนุสาวรีย์แห่งพระนักพัฒนาให้โลกนี้ได้จดจำ ดุจแสงสว่างส่องนำทางให้พระนักการสาธารณสงเคราะห์ไม่สิ้นหวังและหมดแรงบันดาลใจ จะเกิดมีแสงสว่างแห่งพระนักพัฒนาอีกหลายรูปมาทำงานรักษาพื้นที่แห่งพระพุทธศาสนาในจังหวัดชายแดนใต้ ในฐานะพระภิกษุผู้เสียสละอุทิศตนทั้งชีวิต เพื่อการเผยแผ่ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ในถิ่นพื้นที่ชายแดนใต้ ควรแก่การยกย่อง สรรเสริญ ระลึกถึงจดจำคุณงาม ความดี ความเสียสละ ของท่านให้แพร่หลายไปทั่วทิศานุทิศ เป็นขวัญกำลังใจให้พระภิกษุและอุบาสกอุบาสิกาได้ร่วมกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสถาพรสืบไป

กราบคารวะหัวใจของท่านผู้มั่นคงในพระรัตนตรัย “ไม่ตาย ไม่เลิกทำความดี”