posttoday

ภาระที่ยากจะปลดปลง

27 สิงหาคม 2560

วันนี้ฉันตื่นขึ้นมาพบกับเช้าที่สดใส ซึ่งมาพร้อมแดดอุ่นและสายลมพัดเอื่อย ฉันรู้สึกถึงพลังที่เต้นเร่าอยู่ในร่างกาย

โดย...เพ็ญแข สร้อยทอง

วันนี้ฉันตื่นขึ้นมาพบกับเช้าที่สดใส ซึ่งมาพร้อมแดดอุ่นและสายลมพัดเอื่อย ฉันรู้สึกถึงพลังที่เต้นเร่าอยู่ในร่างกาย มันมากมายเสียจนคิดว่าตัวเองสามารถทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งแก้ปัญหาของโลกนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็เห็นว่าควรเริ่มต้นที่จัดการกับ “คนซึ่งฉันมองเห็นในกระจก” ก่อนจะไปแก้ปัญหาของชาวบ้าน สังคม หรือโลก

เมื่อหันย้อนกลับมามองปัญหาของตัวเอง ขนาดและจำนวนของมันช่างใหญ่โตและมากมาย เกือบทั้งหมดเป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งฉันเคยเรียกว่า “ของสะสม” ไม่ว่าจะซีดี หนังสือ เครื่องแต่งกาย แกดเจ็ต ฯลฯ หลังจากกวาดสายตามองดูกล่อง ชั้น ซอกมุมต่างๆ ที่เราเก็บของสะสมเหล่านั้น แล้วก็พลันรู้สึกว่าเรากำลังจ่ายค่าห้องค่าบ้านเพื่อให้สิ่งของเหล่านี้อยู่มากกว่าให้ตัวเองอาศัยด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นข่าวคนตายเพราะโดยข้าวของที่เก็บไว้มากมายในห้องล้มทับก็รู้สึกว่า เราอาจจะเป็นคนต่อไปก็ได้

ข้าวของรอบตัวมัน “เยอะ” เสียจนความฝันที่อยากจะเป็น “มินิมัลลิสต์” ของฉันช่างห่างไกลเลือนราง มีเพียงความเป็น “แมทีเรียลิสต์” ซึ่งไม่เคยฝันถึงแต่กลับแนบชิดกับตัวตนเราอย่างแน่นเหนียว

หากว่าคืนนี้เราเข้านอนแล้วตื่นขึ้นมาพบว่าข้าวของทั้งหมดหายไป (บ้าง) ฉันก็จะไม่เสียดายอะไรเลย จริงๆ แล้วอาจเพราะว่าฉันไม่รู้ว่าตัวเองมีอะไรอยู่บ้างต่างหาก เพราะว่าของสะสมจำนวนมากเราเก็บไว้จนลืม ไม่เคยคิดถึง ไม่เคยนำออกมาใช้ หรือแม้แต่ชื่นชมยินดีว่าเรามีมันอยู่

ถึงแม้ว่าจะมีข้าวของอยู่แล้วมากมายแค่ไหน แต่ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกปี ข้าวของมีแต่เพิ่มขึ้น เพราะหยุดซื้อ หยุดตามล่า หยุดหาวัตถุเข้าห้องเข้าบ้านไม่ได้ ขณะที่ของเก่าๆ ก็ไม่ได้นำออกไปใช้ แจกจ่าย ทิ้ง หรือ ขายเลย ณ เวลาหนึ่งฉันรู้สึกว่าตัวเองมีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว ฉันพอแล้ว แต่ไม่นานต่อมาฉันก็อยากได้ของชิ้นใหม่อีก เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งฉันพบว่า ตัวเองนั่งตัวลีบเล็กอยู่ท่ามกลางกองข้าวของมหึมาที่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันยังไงดี

ข้าวของซึ่งเก็บสะสมไว้กำลังกลายเป็นความทุกข์ เวลาว่างสบายๆ ที่ห้องที่บ้านก็หายไป เพราะว่าข้าวของเยอะเกิน ห้องของเราเล็กลงและรกขึ้น ห้องรกๆ ก็มีผลกับจิตใจของคนที่อยู่อาศัย อย่างน้อยที่สุดฉันไม่สามารถที่จะประกาศออกไปว่าตัวเองมีชีวิตอย่างเรียบง่าย

สิ่งของทั้งหลายที่ได้มาทำให้ฉันชื่นชมยินดีมีความสุขกับการได้เป็นเจ้าของมันเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ที่เคยคิดว่าสิ่งของเหล่านี้สะท้อนไลฟ์สไตล์และบ่งบอกตัวตนความเป็นเรา แต่แท้ที่จริงแล้วคุณค่าของทุกคนก็ไม่ได้อยู่ในข้าวของซึ่งเราครอบครอง เมื่อมานั่งใคร่ครวญก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า แท้จริงแล้วการได้เป็นเจ้าข้าวเจ้าของสิ่งใดแล้วทำให้เราดีใจมีความสุขนั้นมันมาจากประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ

การเก็บรักษาไว้เพียงแต่ประสบการณ์น่าจะให้ความสุขกับเราได้มากกว่า อย่างน้อยประสบการณ์ก็ไม่ทำให้ห้องเราแคบลง ประสบการณ์แบบที่ไม่ทำให้บ้านเรารกขึ้น ประสบการณ์ที่ประทับอยู่ในใจ ความรู้สึก และสมอง อย่างมากที่สุดก็อาจจะเก็บบันทึกไว้ในสมุด หรือเป็นไฟล์ภาพที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ หรือจะไปใช้บริการฝากออนไลน์ใน “เมฆ” (Cloud) ก้อนใดสักก้อนหนึ่ง

เราจำเป็นต้องมีของมากขนาดนี้ไหม คำตอบ คือ ไม่ อย่างเช่น ซีดีเพลงและหนัง หรือแม้แต่หนังสือ ถ้าเราเก็บไว้เฉพาะที่สำคัญและจำเป็น แล้วหันไปใช้บริการฟังเพลงดูหนังจากบริการสตรีมมิ่ง หรืออ่านอี-บุ๊ก จริงอยู่ที่ฟังเพลงดูหนังจากแผ่นหรืออ่านหนังสือพิมพ์บนกระดาษให้ประสบการณ์ที่แตกต่าง เมื่อถึงเวลาจริงๆ แม้จะเจ็บปวดก็คงต้องเลือก เพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิดและสนใจแก่นที่แท้ของการดู ฟัง หรือ อ่าน รูปแบบลักษณะของเสียงหรือของตัวหนังสือไม่น่าจะเป็นปัจจัยใหญ่ ถ้าเราอยากดูหนังเพื่อ “เอาเรื่อง” ดูจากแผ่นหรือดูออนไลน์ก็ไม่น่าจะต่างกันมาก

ใครๆ ต่างก็ชวนให้ฉันเชื่อว่าถ้ามีข้าวของน้อยลง เราอาจจะสนใจตัวเองหรือกิจกรรมที่ต้องทำได้มากขึ้น ชีวิตที่เป็นอิสระจากภาระข้าวของเหล่านี้น่าจะเรียบง่ายขึ้น ไม่ต้องไปเปรียบเทียบข้าวของเครื่องใช้กับใคร เป็นชีวิตเบาๆ ที่มีคุณภาพ ชวนฝันถึง แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ในวันที่ฉันตื่นขึ้นมาพบกับเช้าที่สดใสพร้อมแดดอุ่นและสายลมพัดเอื่อย ทั้งยังรู้สึกถึงพลังที่เต้นเร่าอยู่ในร่างกายนี้ อาจจะเป็นวันดีๆ สำหรับเริ่มต้น ด้วยการทิ้งข้าวของไปซะบ้าง ใครอยากได้ยกมือขึ้น

แต่เดี๋ยวนะ…ขอออกไปช็อปปิ้งของใช้สำหรับการทิ้งข้าวของก่อน