posttoday

อภัยทาน ธรรมค้ำชูแผ่นดิน!

24 สิงหาคม 2557

จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยก้าวผ่านนานาปัญหา สู่ความมั่นคงในเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม

ปุจฉา : จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยก้าวผ่านนานาปัญหา สู่ความมั่นคงในเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม การมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากระบบรัฐประหารใช้ได้หรือไม่ ในการแก้ปัญหานำพาประเทศไปสู่ความสุขความเจริญ!?

วิสัชนา : เจริญพรศรัทธาสาธุชนผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก่อนจะแก้ปุจฉา ต้องขอนำสาธุชนมาสู่หลักความจริงที่เป็นธรรมดา ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ เดินทางไปตามกาลเวลา ให้เห็นความเปลี่ยนแปลง ยากจะคงทน มีเกิดขึ้น ก็ต้องมีดับไป แม้ตั้งอยู่ ก็แปรปรวน ยากที่จะต้านทาน ดุจดังหลักธัมมุทเทส ที่ทรงแสดงไว้ที่แคว้นกุรุ ว่า โลก...อันชรานำไปไม่ยั่งยืนโลก...ไม่มีอะไรต้านทาน โลก...ไม่มีอะไรเป็นของๆ ตน จำต้องสละ และ โลก...พร่องอยู่เป็นนิตย์

พระพุทธเจ้าของเราชาวพุทธ ทรงสั่งสอนให้รู้ที่สุดในโลก นั่นคือ รู้ที่สุดแห่งทุกข์ หมายถึง รู้ที่สุดแห่งชีวิต เพราะชีวิตคือความทุกข์ ความทุกข์คือโลก และโลกคือความไร้แก่นสาร ไม่มีอะไรเที่ยงแท้อันควรยึดถือ จึงกล่าวสรุปลงที่ ธรรมของโลกหรือโลกธรรม ว่า มีเกิดขึ้นก็ต้องมีดับไปนั้น เป็นธรรมดา คือ เป็นธรรมะ... ที่แสดงให้เห็น 2 ภาคส่วนของโลกธรรม โดยกำหนดสมมติบัญญัติให้เห็นชัดๆ เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข...เป็นความเกิด และฝ่ายดับตามมาประกบไว้แน่น คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์...จริงๆ แล้ว ตามหลักธรรมะต้องการแสดงให้เห็นตัวสุดท้าย ว่า แม้สุขก็ยังเป็นแปลงค่ามาเป็นทุกข์ ...นี่คือ โคตรสัจธรรมของโลก ที่สาธุชนไม่ควรปรามาส...

เมื่อเข้าใจ ธรรมะ หรือ ความเป็นธรรมดา ตรงกันแล้ว ก็ไม่ยากที่จะวิสัชนากับปุจฉาที่ตั้งขึ้นว่า จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยก้าวผ่านปัญหา... ประโยคแรกของปุจฉานี้ แก้ไม่ยาก ตอบได้ซื่อๆ เลยว่า ก็เริ่มต้นที่ตัวเรา อย่าได้ทำตัวมีปัญหา!?

หากค้นหาคำตอบให้ลึกลงไปอีกนิด ก็จะพบความจริงว่า ประเทศเป็นสมมติสาธารณะที่แสดงความเป็นเขตแดนที่อยู่ร่วมกันของสัตว์ทั้งหลาย คือ พวกเราทั้งหลาย...ปัญหาของประเทศ แสดงความมีปัญหาของสังคมนั้น หมายถึง พวกเราทุกคนที่เป็นมวลรวมของสังคมหรือประเทศ จึงต้องแปลงคำถามใหม่จากเดิมว่า จะทำอย่างไรให้คนในสังคมก้าวผ่านปัญหาชีวิตไปได้...ซึ่งคำตอบในพระพุทธศาสนานั้นสั้นๆ มาก คือ ปัญหาชีวิต ดับได้ด้วยความรู้ความเข้าใจในชีวิต... ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ชีวิต... โลก... ความทุกข์ (ปัญหา) คือ เรื่องเดียวกัน วิธีแก้ชีวิตไม่ให้มีปัญหา หรือความทุกข์ หรือให้มีความทุกข์หรือปัญหาเหลือน้อยที่สุด ก็ต้องมีสติปัญญาประกอบความเพียรชอบ หมายถึง มีความรู้ความเข้าใจในปัญหาหรือความทุกข์นั้น และใช้วิธีการที่ถูกต้อง ดำเนินการอย่างถูกวิธี ไม่ขัดแย้งกับธรรมะ... เรียกว่า รู้ เข้าใจ และเพียรถูก เป็นเครื่องแก้ปัญหาชีวิต ...ถ้าไม่รู้ ไม่เข้าใจ และเพียรผิดๆ ชีวิตก็จะจมอยู่ในกองทุกข์มิรู้คลาย... ฉิบหายสถานเดียว ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มียศถาบรรดาศักดิ์เป็นอะไร จะหนุ่มสาวเฒ่าเด็กมีสิทธิเสมอกัน บนความฉิบหายที่โลกนี้จะจ่ายคืนกลับให้กับชีวิตที่ หลงโลก... ยึดโลกเป็นสรณะ!!

การแก้ไขปัญหาชีวิตด้วยธรรมวิธีในพระพุทธศาสนานั้น จึงมุ่งการพัฒนาชีวิต หมายถึง การสร้างคุณค่าความคิดนึกให้มีสติปัญญา เพื่อก้าวสู่ธรรมะ คือ ให้จิตมีธรรมะเป็นแก่น ...จิตที่มีแก่น ก็เข้มแข็งมั่นคง โดยเฉพาะเป็น แก่นธรรม... แก่นความดี... ไม่ใช่แก่นอัปรีย์อย่างพวกหลงตัวมัวเมาอยู่ในกระแสมาร พุทธศาสนาของเราจึงสอนให้รู้จักอบรมจิตด้วยพรหมวิหารธรรม ที่เรียกว่า จิตตภาวนา ซึ่งถ้าใครๆ ในศาสนานี้ไม่เคยอบรมจิต หรือภาวนาไม่เป็น ก็อย่าหวังว่าจะก้าวไปสู่การพัฒนาจิตให้มีแก่นธรรมได้ เพราะแก่นธรรมไม่ได้เกิดขึ้นจากการรู้เรียนหรือรู้คิด แต่จะต้องรู้ภาวนา คือ ภาวนาจิตจนเกิดการหยั่งรู้ลงไปในธรรมได้ ...สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ว่า ความดีที่มีแก่นธรรมนั้น ต้องสร้างขึ้นด้วยการเจริญสติภาวนา... ที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา สถานเดียว โดยนำเอาองค์ธรรมทั้ง ๔ ในพรหมวิหารมาบริหารจิต จนก้าวสู่จิตที่ประเสริฐไปตามลำดับธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ...เมื่อก้าวถึงอุเบกขา... หลักอภัยทาน ที่ว่าทำได้ยาก เป็นทางที่ทำได้ยาก ก็ย่อมทำได้ไม่ยาก เพราะเมื่อจิตที่ประเสริฐ ย่อมเกิดการให้อภัยโดยธรรม... และธรรมนี้ย่อมค้ำชูโลก คือ สังคม คือ ชีวิต ให้มั่นคงเจริญก้าวหน้าไม่ฉิบหาย... ซึ่งหมายความว่า ถ้าอยากฉิบหาย ก็จงจองเวรเข่นฆ่าทำลายกัน อย่าได้ให้อภัยต่อกัน ...มึงฆ่ากู กูฆ่ามึง ...มึงด่ากู กูตีกบาลมึง ...ไม่นาน ฉิบหายสมประสงค์ จบชีวิต สิ้นชาติ แน่นอน...

ส่วนปุจฉา เรื่อง การมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ว่าจะสามารถแก้ปัญหาประเทศชาติได้หรือไม่... เรื่องนี้ไม่ควรถามอาตมา... ควรไปถามท่าน อุบาสกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กล้าหาญเข้ามาแก้ไขปัญหารกรุงรังของพวกชอบมีปัญหาแล้วไม่ยอมแก้... เที่ยวเรียกร้องให้คนโน้นเข้ามาแก้ ให้ทหารออกมาปฏิวัติ... ทหารไม่ออกมาก็ไปด่าว่าเขาถึงหน้ากองทัพบก เขียนภาพปรามาสเขาต่างๆ นานา... พอเขาออกมาแก้ไขปัญหา ก็ไม่ไว้ใจ กลัวอย่างนั้น... กลัวอย่างนี้... ไอ้พวกจิตไม่ว่าง สันดานวุ่น มักหาเรื่องวอดวายไปวันๆ... จึงไม่วิสัชนา แต่จะชี้แนวทางการคิดที่สามารถหาคำตอบได้ว่า... หลังจากรัฐประหาร เขาแก้ปัญหากันไปกี่ร้อยเรื่องแล้ว ...ถ้ายังคิดไม่ออก ก็ให้ไปเดินรอบสนามหลวงวันละ ๑๐ รอบ จะได้หายฟุ้งซ่าน...

เจริญพร