เลือกตั้ง69:อภิสิทธิ์ขีดเส้นไม่เอาเทาฟื้นประชาธิปไตยโปร่งใส
ท่ามกลางความผันผวนทางการเมือง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศจุดยืนไม่ร่วมรัฐบาลไร้มาตรฐาน ชูการเมืองสุจริต ฟื้นพรรคประชาธิปัตย์สู่สถาบันการเมืองที่ประชาชนวางใจ
KEY
POINTS
- จุดยืนไม่ร่วมรัฐบาลที่ขาดมาตรฐานจริยธรรม เพื่อคืนความโปร่งใสการเมือง
- การเมืองสุจริตคือฐานรากของการฟื้นเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำ
- ทีมผู้นำและเงื่อนไขร่วมรัฐบาลต้องมี DNA เดียวกัน ไม่ถูกครอบงำ
จุดยืนชัด ไม่ร่วมรัฐบาลไร้มาตรฐานจริยธรรม
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดจุดยืนที่ไม่คลุมเครือ พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคที่มีปัญหาด้านจริยธรรม ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม จุดยืนนี้ถูกวางไว้บนหลักความซื่อสัตย์สุจริต มากกว่าการคำนวณเชิงอำนาจระยะสั้น
นายอภิสิทธิ์ อธิบายว่า มาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองที่บัญญัติไว้ในกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เป็นเส้นแบ่งสำคัญระหว่าง “การเมืองที่ประชาชนเชื่อถือได้” กับ “การเมืองที่บ่อนทำลายความศรัทธา” การประกาศจุดยืนล่วงหน้าจึงไม่ใช่การสร้างความแตกแยก แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ประชาชนรู้สึกถูกหลอกหลังการเลือกตั้ง
ในมุมมองของนายอภิสิทธิ์ ความชัดเจนทางจริยธรรมคือเงื่อนไขพื้นฐานของการเมืองสมัยใหม่ พรรคการเมืองต้องกล้าบอกประชาชนล่วงหน้าว่าจะร่วมและไม่ร่วมกับใคร เพื่อคืนความโปร่งใสให้กระบวนการประชาธิปไตย
การเมืองสุจริต จุดตั้งต้นฟื้นเศรษฐกิจไทย
แก่นหลักของการกลับมาครั้งนี้ คือการฟื้นฟู พรรคประชาธิปัตย์ ให้กลับมาเป็นสถาบันการเมืองที่สังคมไว้วางใจ ภายใต้แนวคิด “บ้านเมืองสุจริต” ซึ่งนายอภิสิทธิ์มองว่าเป็นเงื่อนไขตั้งต้นของการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ
ในเชิงเศรษฐกิจ นายอภิสิทธิ์ วางเป้าหมายให้ GDP ไทยเติบโตเฉลี่ย 5% ภายใน 4 ปี ผ่านการสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย การใช้เทคโนโลยี การปลดล็อกกฎระเบียบ และการยกระดับทักษะแรงงาน แนวคิดนี้มุ่งเปลี่ยนสนามเลือกตั้งจากการแข่งขันประชานิยมระยะสั้น ไปสู่การถกเถียงเชิงโครงสร้างและวิสัยทัศน์ระยะยาว
นายอภิสิทธิ์ย้ำว่า หากการเมืองยังถูกครอบงำด้วยคอร์รัปชันหรือทุนสีเทา นโยบายเศรษฐกิจใด ๆ ก็ไม่อาจเดินหน้าได้อย่างแท้จริง การเมืองสุจริตจึงไม่ใช่คำขวัญ แต่คือโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนาประเทศ
ตั้งเงื่อนไขร่วมรัฐบาล พร้อมทีมผู้นำ DNA เดียวกัน
สำหรับการร่วมงานกับพรรคอื่น นายอภิสิทธิ์วางหลักไว้สองประการ นโยบายต้องทำได้จริง และต้องไม่มีการครอบงำหรือแนวคิดที่สร้างความแตกแยก และยอมรับว่าทุกพรรคมีพัฒนาการ แต่บางประเด็น เช่น การนิรโทษกรรมในเรื่องอ่อนไหว ยังคงเป็นเส้นแดงที่พรรคไม่อาจก้าวข้าม
อีกหมากสำคัญคือกลยุทธ์ “3 แคนดิเดตนายกฯ” ภายใต้แนวคิด “ไทยจะหายจน ต้องใช้คนทำเป็น” ทั้งสามคนถูกคัดเลือกจากประสบการณ์และแนวคิดที่สอดคล้องกัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทิศทางประเทศจะไม่เปลี่ยนไปตามตัวบุคคล แต่ยึดโยงกับมาตรฐานเดียวกัน
ในช่วงท้ายของบทสนทนา อภิสิทธิ์ย้อนตอบคำถามต่อประเด็นในอดีต ตั้งแต่นโยบายเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางการเมือง ไปจนถึงกรณีเขาพระวิหาร โดยยืนยันหลักเดิมคือความพร้อมให้ตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม และการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)


