ศรายุทธิ์แจงกลไกอำนาจพรรคประชาชน ปัดครอบงำ โต้ข้อหาโปลิตบูโร
ศรายุทธิ์ ใจหลัก ชี้แจงกระบวนการคัดเลือกสส.บัญชีรายชื่อ ท่ามกลางข้อกล่าวหาโปลิตบูโร ยืนยันพรรคเปลี่ยนผ่านสู่ระบบตัดสินใจตามโครงสร้าง ไม่ผูกขาดโดยบุคคลหรือกลุ่มใด
KEY
POINTS
- ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน ปฏิเสธข้อกล่าวหา "โปลิตบูโร" โดยชี้แจงว่าโครงสร้างพรรคได้เปลี่ยนจากพรรคขนาดเล็กที่อาศัยความไว้ใจส่วนบุคคลมาเป็นพรรคขนาดใหญ่ที่ต้องมีระบบการตัดสินใจที่ชัดเจนและกระจายอำนาจ
- พรรคใช้กลไกที่เป็นระบบและมีมาตรฐานในการคัดเลือกผู้สมัคร สส. บัญชีรายชื่อ โดยทุกคนต้องผ่านกระบวนการประเมินผลงาน การสัมภาษณ์ และหลักสูตรของพรรคโดยไม่มีข้อยกเว้นหรืออภิสิทธิ์
- อำนาจการตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่คณะกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบัน ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ทั้งหมด โดยยึดหลักผลงานและเสียงสะท้อนจากประชาชน เพื่อให้ทุกขั้นตอนสามารถตรวจสอบได้
จากข้อครหาการรวมศูนย์ สู่โจทย์พรรคการเมืองขนาดใหญ่
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจัดลำดับผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อของพรรคประชาชน ปะทุขึ้นพร้อมข้อกล่าวหาเรื่องการรวมศูนย์อำนาจและการครอบงำโดยกลุ่มผู้ก่อตั้ง หรือที่ถูกเรียกว่า “โปลิตบูโร” ท่ามกลางความคาดหวังของสังคมที่จับตาพรรคการเมืองรุ่นใหม่ว่าจะยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยภายในพรรคได้จริงเพียงใด
นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน อธิบายว่า บริบทของพรรคในวันนี้แตกต่างจากยุคเริ่มต้นอย่างสิ้นเชิง จากพรรคขนาดเล็กที่อาศัยความไว้วางใจส่วนบุคคล สู่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีสมาชิก ผู้สมัคร และความคาดหวังจากสาธารณชนจำนวนมาก การตัดสินใจจึงไม่อาจอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวได้อีกต่อไป
นายศรายุทธิ์ ย้ำว่า ความใกล้ชิดกับแกนนำรุ่นก่อนไม่ได้แปลว่าอำนาจจะถูกรวมศูนย์ หากแต่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนมุมมองในฐานะผู้มีประสบการณ์ ขณะที่โครงสร้างการตัดสินใจจริงถูกออกแบบให้เป็นระบบ และกระจายความรับผิดชอบอย่างชัดเจน
ถอดกลไกคัดกรองผู้สมัคร กับมาตรฐานที่ไม่มีทางลัด
หัวใจของการชี้แจงอยู่ที่ “ระบบ” คัดเลือกผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนแบ่งผู้สมัครออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ สส.เดิม ผู้สมัครหน้าใหม่ที่เปิดรับทั่วไป และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ทาบทามมาเพื่อเสริมทีมบริหารประเทศ แต่ละกลุ่มต้องผ่านกระบวนการประเมินที่แตกต่างกันตามบทบาท
สำหรับผู้สมัครหน้าใหม่กว่า 500 คน ทุกคนต้องส่งผลงานหรือ “การบ้าน” ให้คณะทำงานตรวจสอบ ก่อนคัดเหลือราว 200 คนเข้าสู่รอบสัมภาษณ์ โดยคณะกรรมการเฉพาะกิจที่ไม่ใช่คณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อประเมินศักยภาพและจัดกลุ่มคะแนนอย่างเป็นระบบ
ไม่ว่าผู้สมัครจะเป็นหน้าใหม่หรือมาจากตระกูลการเมืองเดิม ทุกคนต้องผ่านหลักสูตร PP 101 และ 102 ตามกติกาเดียวกัน เลขาธิการพรรคย้ำว่า ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีทางลัด และไม่มีอภิสิทธิ์ใดเหนือระบบที่พรรคออกแบบไว้
ดราม่ารายบุคคล สปิริตทางการเมือง และอำนาจที่ต้องรับผิด
กรณีผู้สมัครที่ถูกคัดออกหรือถอนตัว กลายเป็นอีกประเด็นร้อน นายศรายุทธิ์ระบุว่า การพิจารณายึดจากผลงาน พฤติกรรม และเสียงสะท้อนจากประชาชนเป็นหลัก บางกรณีเป็นการใช้สิทธิวีโต้เพื่อให้คณะกรรมการบริหารพรรคทบทวนข้อมูลเพิ่มเติม ขณะที่บางรายตัดสินใจถอนตัวเองหลังเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ
ในอีกด้าน การที่ สส.ชื่อดังอย่างวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ขอไปอยู่ลำดับท้ายของบัญชีรายชื่อ ถูกอธิบายว่าเป็นการแสดงสปิริตทางการเมือง เพื่อสร้างบรรทัดฐานการหมุนเวียนและเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ ขณะเดียวกัน การโยกผู้สมัครบางรายมาอยู่บัญชีรายชื่อ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงทางกฎหมายของพรรค
ท้ายที่สุด เลขาธิการพรรคย้ำว่า อำนาจการตัดสินใจขั้นสุดท้ายอยู่ที่คณะกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบัน ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ทั้งหมดตามกฎระเบียบ เปรียบเสมือนการเปลี่ยนจาก “ครัวตามสั่ง” สู่ “ครัวมาตรฐาน” ที่ทุกขั้นตอนต้องตรวจสอบได้ เพื่อรักษาคุณภาพทางการเมืองที่พรรคตั้งใจส่งถึงประชาชน
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มาประกอบเนื้อหา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)


