ตีแผ่ยุทธศาสตร์ไทย-กัมพูชา ปะทะชายแดนร้อนแรงบนสามสมรภูมิ
จากเสียงวิเคราะห์ของสองผู้เชี่ยวชาญความมั่นคง เปิดภาพลึกการตอบโต้กัมพูชาอย่างได้สัดส่วน เกมเบี่ยงประเด็นสแกมเมอร์ และศึกทูตที่ไทยต้องเดินพร้อมกัน
KEY
POINTS
- ไทยใช้อำนาจกำลังรบตามหลักสากล เลือกโจมตีเฉพาะฐานทหารที่เป็นภัย
- ความปะทะชายแดนสัมพันธ์กับความพยายามเบี่ยงกระแสสแกมเมอร์
- สามสมรภูมิ—ทหาร, ไซเบอร์, การทูต—คือแกนคุมสถานการณ์ทั้งหมดของไทย
ตอบโต้ได้สัดส่วน เป้าหมายฐานทหารกัมพูชาตามหลักสากล
ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุลุกลามในหลายจุด ทำให้คำถามเรื่อง “การตอบโต้ของไทยควรถึงระดับไหน” กลายเป็นหัวใจสำคัญของสาธารณะ แต่จากมุมมองของ พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร การใช้กำลังของไทยมิใช่การแสดงแสนยานุภาพ หากคือภารกิจตามหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน โดยยึดหลัก “ตอบโต้อย่างได้สัดส่วน”—ไม่โจมตีพลเรือน ไม่โจมตีแบบไร้เป้าหมาย แต่กำจัดภัยคุกคามเฉพาะจุดที่เป็นกำลังรบฝ่ายตรงข้ามจริง ๆ เท่านั้น
ในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ เช่น ฐานปล่อยโดรนและจุดตั้ง BM-21 ซึ่งเป็นระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง การใช้อากาศยานและอาวุธแม่นยำสูง เช่น เลเซอร์ไกด์บอมบ์ จึงเป็นเครื่องมือที่ไทยเลือกใช้อย่างระมัดระวัง ทั้งเพื่อจำกัดความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้างพลเรือน และเพื่อทำลายขีดความสามารถของฝ่ายที่ยิงใส่พลเรือนไทยโดยตรง การทำลายคาสิโนร้างที่ชายแดนตราด—ซึ่งพบว่าเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร—สะท้อนความจำเป็นเชิงยุทธวิธีที่ไม่สามารถละเลยได้ โดยทุกการโจมตีล้วนมีหลักฐานและเหตุผลรองรับว่ามีบทบาทเป็นโครงสร้างสนับสนุนปฏิบัติการรุกของกัมพูชา
พื้นที่อ่อนไหวที่สุดคือบริเวณปราสาทตาควาย ซึ่งถูกใช้เป็นบังเกอร์และจุดตั้งอาวุธ แต่เป็นเขตโบราณสถานที่ไทยไม่อาจใช้อาวุธหนักตอบโต้โดยตรง การจัดการจึงต้องใช้ยุทธวิธีที่ละเอียดกว่า เช่น การตัดเส้นทางเสริมกำลังและจำกัดความได้เปรียบเชิงภูมิประเทศของฝ่ายตรงข้าม การรักษากฎหมายระหว่างประเทศไม่เพียงสร้างความชอบธรรมต่อประชาคมโลก แต่ยังทำให้ไทยยืนอยู่ในฐานะ “ทหารรบกับโจร ไม่ใช่โจรที่รบกับโจร” ดังที่ผู้วิเคราะห์ทั้งสองย้ำชัดเจน
ศึกชายแดน-ศึกสแกมเมอร์ เบี่ยงประเด็นโลกกับกัมพูชาฯ
ขณะเสียงปืนดังขึ้นตามแนวรบ อีกสมรภูมิหนึ่งที่ร้อนแรงไม่แพ้กันคือประเด็นสแกมเมอร์ข้ามชาติ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อไทยปีละกว่า 4–7 แสนล้านบาท การปราบปรามเครือข่ายข้ามชาติและการยึดทรัพย์ครั้งใหญ่ในไทยเพิ่งเกิดขึ้นก่อนการปะทุของชายแดนไม่นาน นายวิโรจน์เชื่อว่าสถานการณ์ที่ปะทุรวดเร็วในหลายแนวรบอาจเกี่ยวโยงกับความพยายาม “แย่งพื้นที่ข่าว” และเบี่ยงโมเมนตัมที่กำลังมุ่งไปที่ต้นตอรายได้สีเทาของกัมพูชา ซึ่งกำลังถูกจับตามองบนเวทีโลกมากขึ้น
เมื่อตัวเลขรายได้ของอุตสาหกรรมผิดกฎหมายขนาดใหญ่กำลังถูกเปิดเผย ความเสียหายต่อภาพลักษณ์และแรงกดดันจากนานาชาติย่อมรุนแรง การทำให้ความสนใจของโลกกลับไปมองที่ “ความขัดแย้งชายแดน” แทนที่จะเป็น “การสนับสนุนสแกมเมอร์” อาจทำให้กัมพูชาควบคุมเกมการสื่อสารได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ไทยไม่สามารถโจมตีคาสิโนผิดกฎหมายที่ไม่ได้เป็นฐานทหารได้ แม้ประชาชนจำนวนมากจะตั้งคำถาม เพราะหลักการสากลไม่อนุญาตการโจมตีเป้าหมายพลเรือน
เมื่อภาพของ “ผู้ถูกโจมตี” บนเวทีโลกเริ่มสั่นคลอนจากข้อกล่าวหาเรื่องวางทุ่นระเบิดใหม่และการอุปถัมภ์ทุนสีเทา การตอบโต้ด้วยการขยายแนวรบชายแดนจึงเป็นเกมที่อาจสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายตนอีกครั้ง หากไทยตอบกลับเกินกว่าเหตุ ก็จะกลายเป็นข้ออ้างในการกล่าวหากลับ แต่ยิ่งไทยปฏิบัติตามหลักสากล อย่างเข้มงวด กัมพูชาก็ยิ่งเสียเปรียบในเชิงข้อมูลข่าวสาร ความนิ่งและรัดกุมของฝ่ายไทยจึงกลายเป็น “อาวุธเชิงยุทธศาสตร์” ที่สำคัญไม่แพ้อาวุธจริงในสนามรบ
จริยธรรมกองทัพไทย ศึกสามสมรภูมิ รบ การทูต ประชาชนฯ
ผู้วิเคราะห์ทั้งสองระบุชัดเจนว่าการควบคุมสถานการณ์ครั้งนี้ต้องบริหารผ่าน “สามสมรภูมิ” พร้อมกัน ได้แก่ ปฏิบัติการทางทหาร ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมไซเบอร์ และการทูตระหว่างประเทศ ซึ่งต่างเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น การอพยพประชาชนจำนวนมากออกจากเส้นปะทะตั้งแต่ต้น สะท้อนบทเรียนจากอดีตที่ทำให้ไทยไม่ต้องเสี่ยงมีพลเรือนอยู่ในพื้นที่ยุทธการ และทำให้กองทัพสามารถเลือกใช้ยุทธวิธีได้อย่างแม่นยำและปลอดภัยกว่าเดิม
ในด้านการทูต กระทรวงการต่างประเทศต้องทำงานแบบเรียลไทม์ควบคู่กับกองทัพ มีหน้าที่สื่อสารและชี้แจงต่อทูต 58 ประเทศให้เข้าใจเหตุผลของไทยอย่างโปร่งใส ทุกปฏิบัติการต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ ทั้งภาพถ่ายดาวเทียม ตำแหน่งการยิง หรือร่องรอยการละเมิดข้อตกลงโดยฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกัน ข้อเสนอที่ให้กองทัพเรือปิดกั้นเส้นทางเดินเรือของกัมพูชาถูกปฏิเสธโดยเด็ดขาด เพราะละเมิดกฎหมายทะเลระหว่างประเทศและจะสร้างผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าอื่นอย่างกว้างขวาง
สิ่งที่สะท้อนจริยธรรมของกองทัพไทยคือการไม่ใช้อาวุธร้ายแรงกับม็อบพลเรือน แม้จะมีการก่อกวนชายแดน แม่ทัพภาคที่ 1 ยังยืนยันใช้ตำรวจควบคุมสถานการณ์แทนทหารอาวุธหนัก นี่คือเส้นแบ่งสำคัญระหว่างกองทัพสมัยใหม่กับกองกำลังที่ละเมิดหลักสากล เมื่อสงครามข้อมูลข่าวสารดำเนินคู่ไปกับสงครามจริง ไทยจึงต้องรักษาความชอบธรรมทุกขณะ ในท้ายที่สุดทุกความขัดแย้งย่อมต้องกลับสู่โต๊ะเจรจา แต่การเจรจาครั้งใหม่จะมีความหมายได้ก็ต่อเมื่อกัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างจริงจัง และยุติภัยคุกคามที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนไทยตลอดช่วงที่ผ่านมา
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)


