posttoday

สมชัย–ณัฏฐา ชี้ต่างมุมความรับผิดชอบของนายกฯ มหาอุทกภัยหาดใหญ่

02 ธันวาคม 2568

กระแสสังคมตั้งคำถามความรับผิดชอบนายกฯ ต่อมหาอุทกภัยใต้ สมชัยหนุนลาออก ยกระดับมาตรฐานการเมือง ขณะแนวคิดฝ่ายณัฏฐาชี้ควรอยู่ต่อเร่งแก้ปัญหาและผลักดันโครงสร้างรัฐ

KEY

POINTS

  • สมชัย ศรีสุทธิยากร เสนอให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองด้วยการลาออก เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของภาวะผู้นำ แม้ภัยพิบัติจะไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดโดยตรงก็ตาม
  • ณัฏฐา มหัทธนา มองว่าการลาออกในภาวะวิกฤตไม่เป็นประโยชน์ และนายกฯ ควรอยู่ในตำแหน่งเพื่อบัญชาการแก้ไขปัญหา ฟื้นฟู และผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างรัฐที่ล้าหลัง
  • บทความสะท้อนมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับความรับผิดชอบของผู้นำ โดยฝ่ายหนึ่งเน้นการสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง (ลาออก) ขณะที่อีกฝ่ายเน้นการบริหารจัดการวิกฤตอย่างต่อเนื่อง (ไม่ลาออก)

วิกฤตน้ำท่วมใต้–ความรับผิดชอบทางการเมืองบนเส้นบางๆ

มหาอุทกภัยหาดใหญ่กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองครั้งสำคัญ เมื่อความเสียหายที่เกิดจากฝนระดับ “300ปี” จุดกระแสสังคมให้ตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลระบบราชการทั้งหมด แม้ภัยพิบัติจะเกินขีดความสามารถโครงสร้างรัฐไทยที่ล้าหลัง แต่ประชาชนจำนวนมากมองว่านายกฯ ต้องแสดงภาวะผู้นำเพื่อเรียกศรัทธาที่สั่นคลอนกลับคืนมา การอภิปรายจึงขยับจากการบริหารจัดการน้ำท่วมไปสู่การนิยามบทบาท “ผู้นำในยามวิกฤต” ว่าควรเป็นอย่างไร

กระแสความคาดหวังดังกล่าวเปลี่ยนความรับผิดชอบเชิงผู้ปฏิบัติให้กลายเป็นความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อระบบราชการที่ล่าช้า และข้อมูลจากผู้ว่าราชการพื้นที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงการบัญชาการจากส่วนกลางว่าเพียงพอและทันเหตุการณ์หรือไม่ ปรากฏการณ์นี้ทำให้ความรับผิดชอบไม่ได้จำกัดอยู่ที่ข้อเท็จจริงเชิงปฏิบัติ แต่เกี่ยวพันกับภาพลักษณ์ ความไว้วางใจ และความชอบธรรมในการบริหารประเทศ

ท่ามกลางความตึงเครียดนี้ การออกมาแสดงท่าทีของสองนักวิเคราะห์คนสำคัญ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร และน.ส.ณัฏฐา มหัทธนา ได้สร้างกรอบถกเถียงสองขั้วอย่างชัดเจน ขั้วหนึ่งเรียกร้องให้ผู้นำ “ก้าวลง” เพื่อสร้างมาตรฐานความรับผิดชอบใหม่ อีกขั้วหนึ่งเชื่อว่าการลาออกในยามวิกฤตคือการทิ้งเรือไว้กลางพายุ โดยไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคมหรือพื้นที่ประสบภัย การถกเถียงนี้จึงสะท้อนความหมายของ “ผู้นำที่รับผิดชอบ” ที่ตีความได้หลายมิติในบริบทการเมืองไทย

สมชัย: ลาออกอย่างสง่าผ่าเผยเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่

ข้อเสนอของนายสมชัยมีแก่นสำคัญอยู่ที่แนวคิด “ความรับผิดชอบทางการเมือง” ซึ่งไม่ได้ผูกกับความผิดพลาดเชิงปฏิบัติเท่านั้น แต่หมายถึงมาตรฐานแห่งภาวะผู้นำในประเทศอารยะ เมื่อเกิดอุบัติภัยครั้งใหญ่ ผู้นำต้องลุกขึ้นมารับผิดชอบ แม้จะไม่ได้ผิดโดยตรงก็ตาม เพื่อสะท้อนว่าตนถืออำนาจสูงสุดจึงต้องรับผลลัพธ์สูงสุดตามไปด้วย สมชัยชี้ว่า แม้ระบบราชการคือรากของปัญหา แต่การลาออกของนายกฯ จะถือเป็นความสง่างามทางการเมืองและเป็นสัญญาณว่าประเทศพร้อมยกระดับมาตรฐานผู้นำ

สิ่งที่โดดเด่นคือข้อเสนอ “เดดไลน์รับผิดชอบ” ซึ่งนายกฯ อาจกำหนดช่วงเวลา เช่น 20 วันหรือหนึ่งเดือน เพื่อเร่งฟื้นฟู เยียวยา และแก้ปัญหาให้ปรากฏเป็นผลงาน ก่อนประกาศลาออกอย่างเป็นทางการ แนวคิดนี้มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการรับผิดชอบต่อสังคมและการปฏิบัติหน้าที่จนเสร็จสิ้น หากทำสำเร็จ ประชาชนอาจให้คะแนนมากกว่าเดิม เพราะเห็นว่าผู้นำไม่เพียงรับผิดแต่ยังพิสูจน์ความสามารถให้ประจักษ์ก่อนลงจากตำแหน่ง

อีกข้อเสนอที่สะท้อนมุมมองเชิงสัญลักษณ์คือการให้คณะรัฐมนตรี “โค้งขอโทษ” ต่อประชาชนอย่างเป็นทางการ เพราะความเสียหายครั้งนี้มีน้ำหนักทางจิตใจและศรัทธาต่อรัฐ การแสดงความรับผิดชอบโดยสมัครใจจึงอาจลดความโกรธ ลดความแตกแยก และฟื้นความไว้วางใจระดับหนึ่ง ข้อเสนอทั้งหมดของสมชัยมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียว คือการทำให้การเมืองไทยเริ่มต้นวัฒนธรรมใหม่ที่ผู้นำรับผิดชอบเชิงสาธารณะอย่างแท้จริงเมื่อเกิดวิกฤตใหญ่

ณัฏฐา:ไม่ใช่เวลาลาออก ต้องอยู่แก้วิกฤตและดันโครงสร้างรัฐ

ต่างจากมุมมองสมชัยโดยสิ้นเชิง น.ส.ณัฏฐายืนยันว่า การลาออกในสถานการณ์นี้ “ไม่ก่อประโยชน์ต่อส่วนรวมแม้แต่น้อย” เพราะภัยครั้งนี้เป็นระดับ “ฝนสามร้อยปี” เกินกำลังมนุษย์และโครงสร้างรัฐไทยจะรับมือได้ ความผิดจึงไม่ควรถูกโยนไปยังผู้นำเพียงคนเดียว อีกทั้งระบบราชการที่เชื่องช้า วัฒนธรรมระเบียบจ๋า และการทำงานแบบจับผิดมากกว่าแก้ปัญหา คือรากที่ต้องปฏิรูป หากผู้นำลาออกกลางคัน ผู้รับหน้าที่ต่อจะไม่มีความพร้อมพอที่จะผลักดันการฟื้นฟูที่ต้องแข่งกับเวลา

ณัฏฐาย้ำว่าขณะนี้ นายกฯ ได้แสดงความรับผิดชอบเชิงปฏิบัติแล้ว ทั้งการรับว่าความรับผิดชอบอยู่ที่ตนและการลงพื้นที่เผชิญหน้ากับประชาชน จุดสำคัญจึงไม่ใช่การแสดงสัญลักษณ์ แต่คือการ ใช้อำนาจรัฐเพื่อฟื้นฟูและเยียวยาเศรษฐกิจภาคใต้ให้เร็วที่สุด รวมถึงการผลักดันมาตรการต่างๆ ผ่านคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่นายกฯ ควบคุมอยู่ หากเปลี่ยนผู้นำตอนนี้ จะทำให้การขับเคลื่อนมาตรการหยุดชะงักทั้งหมด

ประเด็นสำคัญอีกข้อคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าเป็นภารกิจที่ต้องสำเร็จก่อนการยุบสภา แต่ณัฏฐาเตือนว่า หากนายกฯ ลาออก ไทม์ไลน์การโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะเข้ามาแทรกทันที ทำให้สมการทางการเมืองเปลี่ยนไป อาจทำให้โอกาสแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับหลุดลอย รัฐบาลและสภาจึงต้องช่วยกันประคองร่างวาระ 2 และ 3 รวมถึงการผลักดันคำถามประชามติคำถามที่ 1 เข้าสู่ ครม. เพื่อให้กระบวนการเดินหน้าได้ต่อเนื่อง วิกฤตครั้งนี้จึงเป็นทั้งบทสอบและความคาดหวังว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนโครงสร้างรัฐที่ล้าหลังให้ได้จริง

ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง: อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง 

ข่าวล่าสุด

Smart Money 25 สถาบันฯ ลุย ขับเคลื่อน การลงทุนมั่นคง