posttoday

ภาษีชินคอร์ป-อุทธรณ์คดี112 รุกบีบทักษิณ เขย่าเข็มทิศเพื่อไทย

20 พฤศจิกายน 2568

สองคดีที่ปะทุพร้อมกันกลายเป็นแรงกดดันฉับพลันต่อทักษิณ สะท้อนจังหวะอำนาจใหม่ที่กำลังจัดวางทิศทางการเมืองและบีบให้เพื่อไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่

KEY

POINTS

  • นายทักษิณ ชินวัตร เผชิญแรงกดดันทางการเมืองจาก 2 คดีสำคัญที่เกิดขึ้นพร้อมกัน คือคดีมาตรา 112 และคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือจำกัดบทบาทและอำนาจต่อรอง
  • สถานะที่สั่นคลอนของนายทักษิณส่งผลกระทบโดยตรงต่อพรรคเพื่อไทย ทำให้บารมีของพรรคลดลง สั่นคลอนความเชื่อมั่นภายใน และบีบให้ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์การเมือง
  • ปรากฏการณ์ดังกล่าวถูกวิเคราะห์ว่าเป็นฝีมือของ "ผู้กำกับ" หรือกลุ่มอำนาจที่มองไม่เห็น เพื่อควบคุมทิศทางและจัดสมดุลอำนาจการเมืองใหม่ โดยทำให้พรรคเพื่อไทยอ่อนกำลังลง

ตอนที่ 1 : สองคดีปะทุพร้อมกัน – ปมกฎหมายที่กลายเป็นอาวุธทางการเมือง

การกลับประเทศไทยของทักษิณ ชินวัตร เคยถูกมองว่าเป็นการปิดฉากวิบากกรรมทางการเมือง แต่สถานการณ์กลับเดินไปอีกทิศ เมื่อสองคดีสำคัญถูกจุดขึ้นพร้อมกัน ได้แก่ การที่อัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 แม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และคำพิพากษาศาลฎีกาให้ต้องเสียภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท การปะทุของสองคดีในจังหวะเดียวกันนี้ ส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังทั้งตัวทักษิณและสมดุลทางการเมืองโดยรอบ

คดี 112 เป็นกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าพยานหลักฐานอ่อน เนื่องจากไม่มีการนำเทปต้นฉบับมาแสดงในชั้นศาล อย่างไรก็ตาม การที่อัยการสูงสุดตัดสินใจอุทธรณ์สะท้อนแรงกดดันเชิงระบบ โดย "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ นักวิเคราะห์การเมืองและอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี" อธิบายว่า หากอัยการไม่อุทธรณ์อาจสุ่มเสี่ยงต่อข้อกล่าวหาในมาตรา 157 ได้ การยื่นอุทธรณ์จึงเป็น “ทางปลอดภัยกว่า” ขององค์กร แต่ในเชิงการเมือง ผลลัพธ์คือการ “ผูกขาทักษิณ” ให้เคลื่อนไหวไม่ได้เต็มที่

ด้านคดีภาษีหุ้นชินคอร์ปเป็นมหากาพย์ที่ยืดเยื้อมายาวนานเกือบ 20 ปี แต่คำพิพากษาศาลฎีกาชุดล่าสุดได้เพิ่ม “มิติทางศีลธรรม” ของผู้นำประเทศเข้ามาประกอบ ซึ่ง"สุรนันทน์"ชี้ว่าเป็นความแตกต่างสำคัญจากศาลล่างที่ตีความตามตัวกฎหมายเพียงด้านเดียว การนำมิติความรับผิดชอบเชิงผู้นำเข้ามาตัดสินทำให้ผลของคดีมีน้ำหนักทางการเมืองสูงขึ้น การรื้อคดีในจังหวะนี้จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นการเปิดฉากแรงกดดันลูกใหม่ที่คำนวณแล้วต่อสมการอำนาจปัจจุบัน

ตอนที่ 2 : แรงสะเทือนสู่พรรคเพื่อไทย – บารมีที่ถูกสั่นคลอนและสมรภูมิใหม่

ทักษิณคือ “ศูนย์กลางทางจิตวิญญาณ” ของพรรคเพื่อไทยมายาวนาน ความเชื่อมโยงของเขากับพรรคเป็นทั้งทุนทางการเมืองและพลังขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์ ดังนั้น การที่ทักษิณถูกผูกด้วยสองคดีจึงส่งผลโดยตรงต่อพรรคเพื่อไทย ทั้งในเชิงภาพลักษณ์ ความมั่นใจเชิงยุทธศาสตร์ และความสามารถในการรักษาการนำของตนเองในสนามเลือกตั้ง

"สุรนันทน์"วิเคราะห์ว่าบารมีการต่อรองของทักษิณกับชนชั้นนำลดลงอย่างชัดเจน ภาพลักษณ์ “ผู้นำที่ปลอดภัยเพราะมีดีลการเมืองคุ้มกัน” ถูกสั่นคลอน จึงทำให้ สส. เขตบางส่วนที่อยู่ในพื้นที่แข่งขันสูงเริ่มไม่มั่นใจ และอาจมองหาทางเลือกอื่น นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยถูกบีบให้เปลี่ยนจาก “พรรคกระแส” ที่เคยขับเคลื่อนด้วยนโยบายและตัวบุคคล ไปเป็น “พรรคกระสุน” ที่ต้องใช้ทรัพยากรเพื่อประคองฐานเสียงเดิมมากกว่าขยายพื้นที่ใหม่

 พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วิเคราะห์ว่า พรรคเพื่อไทยสูญเสีย “เรื่องเล่าทางการเมือง” ที่ใช้มาตลอดเกือบสองทศวรรษคือการเป็น “ผู้ถูกกระทำ” เนื่องจากการยอมรับคำพิพากษาก่อนกลับประเทศกลายเป็นข้อจำกัดทางเหตุผลที่ทำให้การอ้างความไม่เป็นธรรมในคดีอื่นอ่อนกำลังลง ความเสียหายนี้ไม่เพียงเป็นความพ่ายแพ้เชิงยุทธวิธี แต่เป็นความสั่นคลอนเชิงอัตลักษณ์ของพรรคทั้งระบบ

ตอนที่ 3 : ถอดรหัสทฤษฎี “ผู้กำกับ” – สมการอำนาจใหม่ของสามขั้วการเมือง

ทฤษฎี “ผู้กำกับ” ที่ถูกนำเสนอโดย พล.ท.ภราดร ช่วยอธิบายจังหวะทางการเมืองที่ดู “บังเอิญจนเกินจริง” การปรากฏพร้อมกันของคดี 112 และคดีภาษีถูกมองว่าเป็นความพยายามจัดวางฉากการเมืองเพื่อผลประโยชน์เชิงอำนาจระยะยาว “ผู้กำกับ” ในที่นี้หมายถึงกลุ่มอำนาจนอกระบบหรือรัฐพันลึกที่กำกับทิศทางการเมืองอยู่เงียบๆ แต่ทรงพลังที่สุด

พล.ท.ภราดรชี้ว่า เป้าหมายของผู้กำกับไม่ใช่ทำลายพรรคเพื่อไทยให้สิ้นซาก แต่ต้องการควบคุมทิศทาง โดยทำให้พรรคอ่อนกำลังลงพอที่จะไม่สามารถกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และป้องกันไม่ให้จับมือกับพรรคสีส้มซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในมุมมองของกลุ่มอำนาจ การกดดันทักษิณจึงเป็นเครื่องมือบังคับให้พรรคเพื่อไทยต้องเดินตามร่องที่ผู้กำกับวางไว้

เมื่อประกอบเข้ากับโครงสร้างอำนาจใหม่ การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ยุคสามขั้ว ได้แก่ พรรคภูมิใจไทยที่เป็นแกนอนุรักษนิยม พรรคประชาชนที่เป็นพรรคกระแส และพรรคเพื่อไทยซึ่งยังมีฐานเสียงใหญ่แต่ถูกจำกัดบทบาท ผู้กำกับยังคงแทรกแซงผ่านกลไกกฎหมาย องค์กรอิสระ และคดีสำคัญต่างๆ โดยไม่ต้องพึ่งการรัฐประหารแบบในอดีต การเมืองไทยจึงกลายเป็นสนามที่ทุกอย่างถูกวางแผนอย่างประณีต แม้ผลเลือกตั้งจะสะท้อนความต้องการของประชาชน แต่โครงสร้างสุดท้ายยังอยู่ภายใต้การกำกับของกลุ่มอำนาจที่มองไม่เห็น

สองคดีที่ทักษิณเผชิญถูกใช้เป็นเครื่องมือจัดสมดุลอำนาจการเมืองไทยใหม่ กดบทบาทพรรคเพื่อไทยให้จำกัดวง ขณะเดียวกันเปิดพื้นที่ให้กลุ่มอำนาจกำกับผลลัพธ์ผ่านกลไกกฎหมายและระบบตรวจสอบ แม้ประชาชนเลือกอย่างไร โครงสร้างอำนาจยังถูกคุมอยู่ในเงา

ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ลีดส์ พบ ลิเวอร์พูล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 6 ธ.ค.68