แรงกดดันสหรัฐฯบีบไทย ภาษีหนักหนา ทางสองแพร่งชายแดน–การค้าโลก
ทรัมป์ส่งสัญญาณใช้ภาษีบีบไทยท่ามกลางข้อพิพาทชายแดนกัมพูชา เปิดทางสองยุทธศาสตร์ “ยืนอธิปไตยสุดโต่ง” ปะทะ “การทูตเชิงปฏิบัติ” ขณะที่รัฐบาลถูกวิจารณ์ไร้ทิศทาง
KEY
POINTS
- สหรัฐฯส่งสัญญาณปนเป ระหว่าง “ใช้ภาษียุติสงคราม” กับ “แยกการค้ากับความมั่นคง” ทำไทยวางยุทธศาสตร์ยาก
- มุมมองสองขั้ว: สายทูตเสนอใช้เวทีเจรจา–รักษาภาพลักษณ์สากล สายชาตินิยมย้ำอธิปไตยต้องไม่แลกแม้เศรษฐกิจสั่นคลอน
- จุดเปราะบางอยู่ที่ผู้นำไทย “พูดอย่าง–ทำอีกอย่าง” ทำระบบทูต–ทหารสับสน และส่งสัญญาณอ่อนแอสู่ประชาคมโลก
เปิดฉากวิกฤต: เมื่อการค้าโลกถูกผูกกับแนวรบชายแดน
แรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังทับซ้อนเข้ากับปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาที่สั่งสมมานาน จนกลายเป็น “ปมขัดแย้งเชิงยุทธศาสตร์” ระหว่าง การปกป้องอธิปไตยเหนือดินแดน กับ การรักษาผลประโยชน์ทางการค้าระดับมหาศาล
สัญญาณจากวอชิงตันทำให้สังคมไทยต้องตั้งคำถามใหญ่ว่า ประเทศควรยืนหยัดบนหลักการด้านอธิปไตยแบบไม่ถอยแม้ก้าวเดียว หรือจะใช้การทูตแบบยืดหยุ่นเพื่อกันไม่ให้แรงปะทะทางเศรษฐกิจถล่มเศรษฐกิจภายในประเทศให้ทรุดหนักไปกว่านี้
ในฉากหลังของความสับสนนี้ ปรากฏสองแนวคิดขั้วตรงข้ามที่ชัดเจน ผ่านทัศนะของ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตผู้ช่วย รมต.การต่างประเทศ ผู้ยืนบนฐานปฏิบัติการทางการทูตสากล และ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และอดีตประธาน กมธ.กิจการชายแดน ผู้เสนอแนวทางชาตินิยมเชิงเด็ดขาด
ทั้งสองมองต่างกันแทบทุกมิติ แต่กลับ “เห็นตรงกัน” ว่าปัญหาใหญ่สุดไม่ได้อยู่ที่ทรัมป์ แต่อยู่ที่ ท่าทีที่กลับไปกลับมาของรัฐบาลไทยเอง
ทำเนียบขาวส่งสัญญาณปนเป: ภาษี–การค้า–ความมั่นคง
ตัวเร่งปฏิกิริยาของวิกฤตรอบนี้เริ่มจากสัญญาณที่ขัดแย้งกันของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ไทยวางยุทธศาสตร์ตอบสนองได้ยากอย่างยิ่ง
ด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์บนเครื่องบิน Air Force One ว่า “สามารถใช้ภาษีศุลกากรยุติสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาได้”
แต่อีกด้าน นายกรัฐมนตรีไทยกลับได้รับการสื่อสารผ่านผู้นำมาเลเซียว่า ทรัมป์ต้องการ “แยกเรื่องความมั่นคงออกจากเรื่องการค้า”
สองข้อความนี้สะท้อน “ทิศคนละขั้ว” ว่าการค้าอาจเป็นทั้ง เครื่องมือกดดัน และ เรื่องที่ไม่ควรถูกโยงกับความมั่นคง ไปพร้อมกัน ทำให้เกิดช่องว่างในการตีความอย่างกว้างขวาง
สำหรับสังคมไทย สัญญาณที่ปนเปจากวอชิงตันกลายเป็น “สนามต่อสู้เชิงวาทกรรม” ให้แต่ละฝ่ายหยิบจับไปใช้สนับสนุนแนวทางของตนเอง และผลักให้การถกเถียงภายในประเทศแตกเป็นสองขั้วชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
สองขั้วยุทธศาสตร์: ระหว่าง “การทูตเชิงปฏิบัติ” กับ “ความเด็ดขาดเชิงชาตินิยม”
1) สายทูตปฏิบัติการ: ยืนหลักสากล รักษาเวทีเจรจา
ในมุมของ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ภาพใหญ่ที่ต้องมองก่อนคือ “โครงสร้างอำนาจจริง” ในเวทีโลก เขายอมรับว่าสหรัฐฯ มีประวัติใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางการเมืองในทุกมิติ แต่เตือนว่าไทยต้องไม่หลงคิดว่าตนเองมีอำนาจต่อรองเทียบเท่าชาติมหาอำนาจ
ประเด็นสำคัญของแนวทางนี้คือ
ภาษีคืออาวุธประจำมือของสหรัฐฯ
มาตรการภาษีไม่ใช่แค่เครื่องมือด้านเศรษฐกิจ แต่ถูกใช้เพื่อกดดันพันธมิตรในหลายประเด็น ไทยจึงต้องเตรียมรับมือบนฐาน “ความจริง” มากกว่าความรู้สึก
เวทีเจรจายังเป็นมาตรฐานสากล
ไม่ว่าจะสหรัฐฯ จีน หรืออาเซียน ต่างเน้นว่าปัญหาชายแดนต้องแก้ผ่าน “โต๊ะเจรจา” และกลไกระหว่างประเทศ ไม่ใช่ใช้กำลังทหารเป็นตัวตัดสิน หากไทยหลุดจากกรอบนี้อาจถูกมองว่าเป็นฝ่ายร้อนแรงเกินไป
ไทยไม่ใช่จีน: อำนาจต่อรองต่างชั้น
การเปรียบจุดยืนไทยกับจีนในประเด็นไต้หวันจึง “ผิดฝาผิดตัว” เพราะขนาดเศรษฐกิจ–กำลังทหาร–อิทธิพลทางการทูตต่างกันคนละระดับ ไทยจำเป็นต้องประเมินศักยภาพตัวเองอย่างมีสติ ก่อนจะยก “โมเดลมหาอำนาจ” มาใช้กับตัวเอง
อธิปไตยแลกไม่ได้ แต่วิธีปกป้องต้องมีชั้นเชิง
แก่นคิดของสายทูตคือ อธิปไตยและดินแดน “ไม่มีใครเอาไปแลกได้อยู่แล้ว” แต่สิ่งที่ต้องคิดคือ “จะปกป้องมันอย่างไร” ให้ไม่พังทั้งภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ และไม่ผลักไทยเข้าไปอยู่ในมุมอับทางการทูต
กล่าวให้สั้น แนวทางของนายรัศม์คือ “รักษาอธิปไตยผ่านการทูต ไม่ใช่ผ่านการปะทะ” พร้อมประคองความสัมพันธ์ทางการค้ากับมหาอำนาจให้เสียหายน้อยที่สุด
2) สายชาตินิยมเด็ดขาด: ดินแดนห้ามแตะ แม้เศรษฐกิจสั่น
ฝั่ง นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี กลับดึงเส้นแบ่งให้ชัดกว่านั้น เขามองว่าวิกฤตรอบนี้คือบทพิสูจน์ “ความกล้าตัดสินใจของผู้นำไทย” มากกว่าจะเป็นเกมที่สหรัฐฯ ถือไพ่ทั้งหมด
หัวใจของแนวทางนี้มีหลายชั้น
ปัญหาอยู่ที่ผู้นำ “เอาแน่ไม่เอานอน”
เขาวิจารณ์ตรงไปตรงมาว่า ท่าทีผู้นำไทย “กลับไปกลับมา” ทำให้จุดยืนประเทศไม่น่าเชื่อถือ ต่างจากจีนที่ยืนกรานจุดยืนเดียวเรื่องไต้หวันอย่างสม่ำเสมอ
อธิปไตยเหนือภาษีและการค้า
ดินแดนคือเส้นแดงที่ “ไม่มีอะไรแลกได้” แม้ผู้ส่งออกจะได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ แต่เสียงจากภาคธุรกิจบางส่วนยังยอมรับได้ หากแลกกับการรักษาอธิปไตยอย่างไม่ถอย
MOU 43 = จุดอ่อนเชิงโครงสร้าง
เขาชี้ว่าข้อตกลง MOU 43 ควรยกเลิกไปตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะหลังคำตัดสินศาลโลกปี 2556 แต่ไทยกลับปล่อยให้สถานะของตนเองในเอกสารระหว่างประเทศ “ติดหล่ม” และซ้ำเติมด้วยการไปลงนามปฏิญญาฉบับใหม่ที่ตีความได้ว่าทำให้ไทยถอยลึกกว่าเดิม
ดึงสหรัฐฯ–มาเลเซียเข้ามา = ชักศึกเข้าบ้าน
การดึงประเทศที่มีผลประโยชน์ของตัวเองเข้ามาเป็นคนกลาง อาจเปิดช่องให้กัมพูชาใช้เวทีระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือบีบไทยแทนที่จะเป็นพื้นที่ประนีประนอม
ในมุมนี้ อธิปไตยถูกยกขึ้นเป็น “มูลค่าที่ไม่มีตัวเลขแทนได้” และไทยควรพร้อมรับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจระยะสั้น หากนั่นคือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อยืนยันเส้นแดนของตน
จุดร่วมที่เจ็บปวด: ไทยแพ้เพราะ “รัฐบาลไร้ทิศทาง”
แม้สองฝ่ายจะเสนอทางออกคนละขั้ว แต่กลับเห็นตรงกันในจุดเจ็บปวดที่สุดคือ “รัฐบาลไทยสับสนเอง”
คำเตือนจากนายรัศม์สะท้อนภาพนี้ชัดเจน เมื่อเขาชี้ว่า วันหนึ่งผู้นำพูดว่าไม่สนภาษี วันถัดมากลับย้ำว่าการค้ายังจำเป็น ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทูตที่ต้องไปสื่อสารกับนานาประเทศ “ไม่รู้ว่าจะขายเรื่องไหนเป็นจุดยืนหลักของไทย”
ขณะเดียวกัน นายอรรถวิชช์ก็ชี้ไปที่ผลกระทบในสนามจริงของกองทัพและเจ้าหน้าที่ชายแดน เมื่อ “หัวคิดแบบหนึ่ง หางปฏิบัติอีกแบบ” คนที่ต้องยืนประจันหน้าบนแนวรบชายแดนย่อมไม่รู้ว่าจะทำตามสัญญาณไหน
ผลลัพธ์คือ
- ไทยส่งสัญญาณที่อ่อนแอและไม่เป็นเอกภาพสู่ประชาคมโลก
- คู่กรณีอย่างกัมพูชามีพื้นที่เล่นเกมต่อรองมากขึ้น
- ระบบราชการ–กองทัพ–คณะทูต ไม่สามารถจัดเรียงยุทธศาสตร์ให้เดินไปในทิศทางเดียวกันได้
- กล่าวอีกแบบ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สหรัฐฯ ถามอะไร แต่อยู่ที่ไทยตอบอย่างไรต่างหาก
ทางเลือกข้างหน้า: เมื่อการค้ากับดินแดนถูกผูกในเกมเดียวกัน
จุดชี้ขาดของวิกฤตรอบนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ว่า สหรัฐฯ จะใช้ภาษีบีบไทยจริงหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่า ไทยจะยอมให้ “ความไม่ชัดเจนของตัวเอง” กลายเป็นช่องให้คนอื่นกำหนดเกมแทนหรือไม่
จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญทั้งสอง สามารถถอดรหัสออกมาเป็น “สองเส้นทางยุทธศาสตร์” ที่ไทยกำลังยืนอยู่ตรงกลางทางแยกได้ดังนี้
เส้นทางสายเด็ดขาดเชิงอธิปไตย (โมเดลอรรถวิชช์)
- ยืนยันดินแดนเป็น “เส้นแดงสูงสุด”
- ไม่ยอมให้ภาษี การค้า หรือแรงกดดันใด ๆ มาเบี่ยงจุดยืน
- พร้อมรับผลกระทบทางเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อแลกกับการส่งสัญญาณชัดเจนว่าไทยไม่ต่อรองเรื่องอธิปไตย
เส้นทางการทูตเชิงปฏิบัติ (โมเดลรัศม์)
- รักษากรอบเจรจาและกลไกระหว่างประเทศไว้เป็นหลัก
- ปกป้องอธิปไตยผ่านการออกแบบยุทธศาสตร์ทางกฎหมายและการทูต ไม่ใช่ผ่านการยกระดับความตึงเครียด
- ลดโอกาสที่ไทยจะถูกโดดเดี่ยวในเวทีโลก และประคองผลประโยชน์ทางการค้าไปพร้อมกัน
ไม่ว่าประเทศไทยจะเลือกเดินเส้นทางใด เงื่อนไขที่ขาดไม่ได้คือ “ความชัดเจนของผู้นำ” เพื่อให้ทูต ทหาร นักธุรกิจ และประชาชน สามารถเตรียมตัวรับผลที่จะตามมาอย่างมีแบบแผน
เพราะในขณะที่การเมืองสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์อาจเปลี่ยนผ่านไปตามวาระการเลือกตั้ง แต่ บาดแผลจากการสูญเสียดินแดน หรือการสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีโลก จะทิ้งร่องรอยยาวนานกว่ารัฐบาลชุดใด ๆ และอาจเป็นมรดกทางการเมืองที่คนไทยรุ่นต่อไปต้องรับภาระแทนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)


