รัฐบาลเสียงข้างน้อยเผชิญปมซักฟอกสแกมเมอร์ สะเทือนถึงพรรคสีส้ม
สองขั้วการเมืองต่างเสี่ยง ฝั่งรัฐบาล “อนุทิน” เผชิญปมซักฟอกคดีสแกมเมอร์ ขณะฝ่ายค้าน “พรรคสีส้ม” เจอข้อกล่าวหาหักเงินผู้ช่วย สส. เขย่าศรัทธา
KEY
POINTS
- รัฐบาลเสียงข้างน้อยกำลังเผชิญแรงกดดันจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นสแกมเมอร์ ซึ่งอาจนำไปสู่การยุบสภาเพื่อหนีการตรวจสอบ
- พรรคสีส้ม (ฝ่ายค้าน) ถูกโจมตีกลับด้วยข้อกล่าวหาหักเงินเดือนผู้ช่วย สส. ซึ่งกระทบภาพลักษณ์ความโปร่งใสและเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรค
- สถานการณ์ดังกล่าวถูกมองว่าเป็นเกมการเมืองเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหารัฐบาลไปยังฝ่ายค้าน ทำให้ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสภาวะต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
แรงสะเทือนจาก “พรรคสีส้ม” – เมื่อการเมืองสะท้อนเงาเงิน
ท่ามกลางไฟส่องแรงไปที่รัฐบาลเสียงข้างน้อย จู่ ๆ พรรคสีส้มกลับกลายเป็น “เป้าโต้กลับ” ที่โดนพุ่งชนด้วยข้อกล่าวหาเรื่อง “หักเงินเดือนผู้ช่วย ส.ส.”
ข้อกล่าวหานี้ ไม่ใช่เรื่องเล็ก – มันแตะถึง “แกนกลางของความชอบธรรม” ที่พรรคนี้สร้างภาพลักษณ์มายาวนานในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่สะอาดมือ
เกมหักเงิน หรือหักศรัทธา
รศ.ยุทธพร อิสรชัย แห่ง มสธ. วิเคราะห์ว่า ถ้าการนำเงินเดือนผู้ช่วย ส.ส. กลับเข้าพรรค ไม่ใช่ “ความสมัครใจ” แต่เป็น “คำสั่งแฝง” ก็เท่ากับเปิดช่องให้ กกต. เดินเข้าสู่การไต่สวนภายใต้มาตรา 30 และ 92 ของ พ.ร.บ. พรรคการเมือง เสี่ยงถึงขั้น “ยุบพรรค”
แต่ถ้าเป็นการบริจาคด้วยอุดมการณ์ ก็มองว่า “ยังไม่ถึงจุดแตกหัก” เพียงแต่ภาพลักษณ์ทางการเมืองจะสั่นสะเทือน เพราะพรรคนี้ขึ้นชื่อว่า “ไม่ซื้อใจคนด้วยเงิน”
และวันนี้พวกเขากำลังถูกตั้งคำถามว่า “เงินบริจาคเพื่ออุดมการณ์ หรือเงินบังคับเพื่อความอยู่รอดของพรรค?”
เมื่อศัตรูเปลี่ยนเกมรบ
นายศักดา นพสิทธิ์ ชี้ว่า นี่คือเกม “ตีโต้กลับ” ทางการเมืองจากพรรคกล้าธรรม ที่กำลังถูกรุมด้วยกระแสสแกมเมอร์
ในจังหวะที่รัฐบาลเริ่ม “เสียพื้นที่” การขุดคดีพรรคสีส้มขึ้นมาเท่ากับดึงสมดุลกลับเข้าสู่สนาม ลดแรงตรวจสอบรัฐบาล และโยนความชอบธรรมกลับไปท้าทายฝ่ายค้านแทน
“มันคือการแลกหมัดเชิงกลยุทธ์ ฝ่ายค้านอยากตรวจสอบรัฐบาล แต่กลับโดนเปิดแผลในจังหวะที่ยังไม่ตั้งตัว” ศักดา วิเคราะห์
รัฐบาลเสียงข้างน้อย : ยืนอยู่บนเส้นด้าย
อีกฟากหนึ่งของสมรภูมิ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รัฐบาลเสียงข้างน้อย กำลังต้องบริหารอำนาจภายใต้เงื่อนไขเปราะบางที่สุดในรอบหลายปี
เสียงสนับสนุนในสภาไม่พอ ขณะที่ “กล้าธรรม” ของธรรมนัสคือพรรคร่วมที่รัฐบาล “ไม่กล้าแตะ” แม้กำลังถูกเพ่งเล็งจากคดีสแกมเมอร์
สแกมเมอร์...ระเบิดเวลาทางการเมือง
รศ.ยุทธพร มองว่านี่คือ “จุดตายเชิงภาพลักษณ์” เพราะรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เลย
“สแกมเมอร์ไม่ใช่แค่อาชญากรรมออนไลน์ แต่มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความไร้ศักยภาพรัฐบาล”
ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงยังสับสน ใครอยู่เบื้องหลัง ใครปกป้องใคร และผลประโยชน์ไหลไปทางไหน
เมื่อสังคมตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส และฝ่ายค้านจ่อเปิดศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
“ยุบสภา” จึงอาจกลายเป็นคำตอบเดียวที่รัฐบาลเลือกได้
ยุบก่อนแพ้ – ชิงเกมก่อนโดนล้อม
ตามรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีมีสิทธิยุบสภาได้ “ตราบใดที่ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจยังไม่เข้าสู่ระเบียบวาระ”
ซึ่งหมายความว่า ก่อนที่ประธานสภาฯ จะลงนามรับรองญัตติ รัฐบาลยังมีทางหนี
นายศักดาอธิบายว่า “นี่คือกลเกมชิงจังหวะ”หนีการตรวจสอบ และรักษาหน้ารัฐบาลในทางยุทธศาสตร์
เพราะหากการอภิปรายเกิดขึ้นจริง รัฐบาลอาจไม่รอดจากแรงกดดัน ทั้งจากเสียงฝ่ายค้าน และจากภายในพรรคร่วมเอง
“การยุบสภาไม่ใช่ความพ่ายแพ้...มันคือการรีเซ็ตเกมให้ตัวเองได้เริ่มใหม่”
การเลือกยุบสภายังช่วย “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” ของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผลักดันโดยพรรคสีส้มจะตกไปทันที กติกาเก่ายังอยู่ และรัฐบาลภูมิใจไทยสามารถใช้เป็น “ไพ่ต่อรอง” ในสนามเลือกตั้งรอบใหม่ ในปี2569
เส้นขนานระหว่างความอยู่รอดกับศรัทธา
ในขณะที่รัฐบาลพยายามหนี “ซักฟอก”
ฝ่ายค้านก็พยายามหนี “คำถามเรื่องศีลธรรมทางการเมือง”
ทั้งสองขั้วต่างกำลังอยู่ในเกมเอาตัวรอด ฝ่ายหนึ่งเสี่ยงยุบสภา ฝ่ายหนึ่งเสี่ยงยุบพรรค
นั่นจึง“การเมืองไทย” กลับมาร้อนอีกครั้งในช่วงปลายปี ในจังหวะเดียวกับที่ประชาชนกำลังหมดศรัทธาในทุกฝ่าย!
บทสรุป
รัฐบาลอนุทินกำลังยืนอยู่บนขอบเหวของเสถียรภาพ
พรรคสีส้มถูกกระแทกกลับด้วยข้อกล่าวหาทางการเงินที่อาจสะเทือนถึงฐานอุดมการณ์
ทั้งสองฝั่งต่างเล่นเกมเอาตัวรอดท่ามกลางสนามการเมืองที่เปราะบางที่สุดในรอบหลายปี
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)


