posttoday

เกมแก้รัฐธรรมนูญ 29 มี.ค.69 ในมือประชาชน: ประชามติคือด่านสุดท้าย

16 ตุลาคม 2568

สองร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านวาระแรก เกมย้ายสู่กรรมาธิการ–ศาล ธ.ค.–ม.ค. บีบออกแบบ ส.ส.ร. ให้สอบผ่านกฎหมายและ ส.ว. ลุ้นประชามติพร้อมเลือกตั้ง 29 มี.ค. 69 ยึดผลประโยชน์สาธารณะ

KEY

POINTS

  • รัฐสภาลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ (ของพรรคประชาชนและภูมิใจไทย) ซึ่งจะถูกนำไปพิจารณารวมเป็นร่างเดียวในชั้นกรรมาธิการ
  • มีการกำหนดเป้าหมายให้จัดทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 29 มีนาคม 2569 เพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐ
  • เส้นทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังต้องเผชิญด่านสำคัญ ทั้งการพิจารณาในรัฐสภา การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และด่านสุดท้ายคือการลงประชามติโดยประชาชน

ภาพรวมผลโหวต–กติกา–กรอบเวลา

การประชุมร่วมรัฐสภาวันที่ 15 ต.ค. 2568 ลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ และไม่รับหลักการ 1 ฉบับ โดย ร่างพรรคประชาชน ได้ 568 เสียง (รวม ส.ว. 108) ผ่านเกณฑ์ทั้ง “เกินกึ่งหนึ่ง” และ “ได้ สว.อย่างน้อยหนึ่งในสาม” ขณะที่ ร่างพรรคภูมิใจไทย ได้ 629 เสียง (มี สว. 161) ผ่านฉลุย ส่วน ร่างพรรคเพื่อไทย แม้ได้ 521 เสียง “เกินกึ่งหนึ่ง” แต่มี ส.ว. หนุน 60 เสียง ไม่ถึงเกณฑ์ 1/3 จึงตกไปตั้งแต่วาระ 1

เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ/กฎหมายประชามติ
เส้นทาง “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ไม่ได้หยุดแค่วาระ 1 แต่ต้องฝ่าด่านวาระ 2–3 และสุดท้ายคือ ประชามติ ตามมาตรา 256(8) พร้อมช่องยื่นศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน หาก ส.ส./ส.ว. อย่างน้อย 1 ใน 10 เห็นว่า “เนื้อหา/กระบวนการ” ขัดรัฐธรรมนูญ โดยจุดเสี่ยงสำคัญคือ ที่มาของ ส.ส.ร. หากออกแบบให้ “เลือกตั้งโดยตรง” จนอาจถูกตีความว่าแทรกบทบัญญัติที่ศาลเคยห้ามไว้

ไทม์ไลน์เลือกตั้ง–ประชามติ
กรอบทางการเมืองผูกกับ 3 ปัจจัย: รธน.2560, พ.ร.ป.ประชามติ และ MOA ระหว่างพรรคร่วม (กำหนดยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย) จึงล็อกปลายทางไว้ราว 31 ม.ค. 2569 เป็นเส้นตายยุบสภา และชี้เป้าวันเลือกตั้งเหมาะสมคือ อาทิตย์ 29 มี.ค. 2569 ขณะเดียวกัน หากใช้กฎหมายประชามติเดิม ต้องประกาศประชามติภายใน 90–120 วัน ทำให้รัฐสภาจำเป็นต้องปิดวาระ 3 ไม่ช้ากว่า 15 ธ.ค. 2568 เพื่อให้ “เลือกตั้ง+ประชามติ” จัดพร้อมกันเพื่อลดค่าใช้จ่ายรัฐ

คณิตศาสตร์อำนาจ–ดีลประนีประนอม–กับดักตุลาการ

โครงสร้างเสียง: เปราะบางแต่ต่อรองได้
รัฐสภามี 692 เสียง (ส.ส. 492 + สว. 200) ฝ่ายรัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อยราว 146 เสียง ชี้ชัดว่า “เสียง สว.” คือคานอำนาจ ทั้งในวาระ 1 และ 3 ที่ต้องการ 1/3 ของ สว. เป็นอย่างน้อย เมื่อร่างเพื่อไทยตกตั้งแต่วาระแรก กระดานเจรจาจึงหดเหลือ ร่างประชาชน กับ ร่างภูมิใจไทย ซึ่งจะถูก “รวบรวม–บูรณาการ” ในชั้นกรรมาธิการให้เหลือร่างเดียว

ประนีประนอมในกรรมาธิการ: ถนนสายเดียวสู่ประชามติ
การรวมสองร่างหมายถึง สนามต่อรองเชิงเทคนิค: โครงสร้างและที่มาของ สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.), ขอบเขตอำนาจการยกร่าง, และ “เขตหวงห้าม” เช่น หมวด 1–หมวด 2 ที่มักถูกล็อกไม่ให้แตะเพื่อกันความขัดแย้งบานปลาย หาก “สถาปัตยกรรม ส.ส.ร.” เดินกลางระหว่างเลือกตั้งตรงกับคัดสรรโดยรัฐสภา โอกาสรอดด่านศาล–ประชามติจะสูงขึ้น และทำให้ไทม์ไลน์ทันเลือกตั้ง

กับดักกฎหมาย/ศาล: ทำอย่างไรไม่ให้ “การเมืองแพ้กฎหมาย”
ด่านศาลรัฐธรรมนูญคือ ตัวแปรแตกหัก โดยเฉพาะโมเดลที่มาของ ส.ส.ร. และรายละเอียดคำถามประชามติ หากพ่วง “2 คำถาม” (เอาทั้งหลักการ + วิธีการ) ความเสี่ยงทางกฎหมายและการบริหารจัดการจะพุ่งสูง ทางที่ปลอดภัยคือ ทำประชามติ 1 คำถาม เพื่อตัดสินใจเชิงหลักการ “เห็นชอบให้มีรธน.ฉบับใหม่หรือไม่” ก่อน แล้วค่อยลงรายละเอียดภายหลัง ลดโอกาสฟ้องร้องและความเสี่ยงโมฆะ
 

มุมมองผู้เล่น–ฉากทัศน์–ยุทธศาสตร์สู่เส้นชัย 29 มี.ค. 69

บทบาทพรรค/สว. : ใครถือไพ่เหนือกว่า
แม้รัฐบาลเสียงน้อย แต่ ภูมิใจไทย มีแต้มต่อจากอิทธิพลในสภาสูง จึงกลายเป็น “เจ้าภาพทางการเมือง” ในชั้นกรรมาธิการโดยพฤตินัย ขณะที่ พรรคประชาชน ผลักดันโมเดลที่เน้นการมีส่วนร่วมสูง หากปรับจูนให้พ้นด่านศาลและได้เสียง สว. มากพอ ก็มีสิทธิ์เป็นแกนเนื้อหาร่างหลัก ส่วนฝ่ายที่สนับสนุน เพื่อไทย ต้องยอมรับบท “ร่วมออกแบบ” มากกว่าเป็น “เจ้าของร่าง” ในรอบนี้

ฉากทัศน์การเดินเกม
ฉากทัศน์ดีที่สุด: กรรมาธิการบูรณาการสองร่างสำเร็จ ได้โมเดล ส.ส.ร. ที่ “สอบผ่านศาล–สอบผ่าน สว.” ปิดวาระ 2–3 ทัน ธ.ค. 68 (หรือ กม.ประชามติใหม่ เปิดทางถึง ม.ค. 69), จัดประชามติ 1 คำถาม พร้อมเลือกตั้ง 29 มี.ค. 69

ฉากทัศน์กลาง: ปิดวาระล่าช้า ต้องแยกวัน “เลือกตั้ง” กับ “ประชามติ” เพิ่มต้นทุนและความเสี่ยงทางการเมือง

ฉากทัศน์แย่สุด: ติดหล่มวุฒิสภา–ศาลรัฐธรรมนูญ หรือแตกหักในกรรมาธิการ ร่างตกก่อนถึงประชามติ “การเมืองแพ้กฎหมาย” ซ้ำรอย

เสียงวิจารณ์จากนักกฎหมายมหาชนชี้ว่า การอภิปรายในสภายังตอบคำถาม “ประชาชนได้อะไร” ไม่พอ การออกแบบรธน.ใหม่จึงควร จับต้องได้: ทำอย่างไรให้ระบบถ่วงดุลเข้มแข็ง ลดการฮั้วงบประมาณ ปิดช่องผลประโยชน์ทับซ้อน และยกระดับมาตรฐานคุณธรรมทางการเมือง หากสภาตอบโจทย์นี้ได้ การทำประชามติจะไม่ใช่แค่พิธีการ แต่คือการ “คืนอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ให้ประชาชนอย่างแท้จริง

 

ข่าวล่าสุด

กฤษฎีกาตีตก สลากเพื่อการออมL6 ไม่ถูกคืนเงิน ชี้เกินอำนาจสนง.สลากฯ