posttoday

อธิปไตยไทยรอไม่ได้ "คมสัน โพธิ์คง"ขำแหละMOU 43/44 จี้ยกเลิกทันที

15 ตุลาคม 2568

สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาเดือด รัฐบาลถูกบีบให้ตัดสินใจ “ยกเลิก MOU 43/44” ก่อนหมดสิทธิ์อ้างความชอบธรรมตามกฎหมายสากล และสูญอธิปไตยถาวร

KEY

POINTS

  • คมสัน โพธิ์คง ชี้ว่าปัญหาความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา มีรากฐานมาจากบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 ซึ่งเป็นกับดักทางกฎหมายที่ทำให้ไทยเสียเปรียบและถูกรุกล้ำอธิปไตย
  • ไทยมีสิทธิ์ยกเลิก MOU ได้ทันทีตามกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ทั้งการตั้งถิ่นฐานและใช้กำลังทหารในเขตพิพาท
  • การยกเลิก MOU เป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อรักษาสิทธิ์ของไทยก่อนจะหมดไป และไม่ใช่การประกาศสงคราม แต่เป็นการ "ตั้งโต๊ะเจรจาใหม่" บนพื้นฐานที่เท่าเทียมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

ชายแดนตึงเครียด: จาก “สงครามเสียง” ถึงโจทย์ใหญ่แห่งอธิปไตย

สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว กลายเป็นฉากสะท้อนความเปราะบางของ “ขอบเขตอธิปไตย” ไทยในศตวรรษที่ 21

การรุกล้ำพื้นที่และการตั้งถิ่นฐานชาวกัมพูชาในเขตพิพาท ไม่ใช่เพียงปัญหาเชิงพื้นที่เล็กๆ แต่คือ “สงครามเชิงกฎหมายและจิตวิทยา” ที่อีกฝ่ายใช้ทดสอบเส้นแดงของไทยอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่สังคมไทยเริ่มตั้งคำถามว่า รัฐบาลจะยืนหยัดปกป้องอธิปไตยได้มากแค่ไหน ภายใต้กรอบ MOU ที่ฝ่ายตรงข้ามมักตีความเอื้อประโยชน์ฝ่ายเดียว

การใช้ “สงครามเสียง” ผ่านรถแห่เปิดเพลงและภาพยนตร์เสียงดัง เพื่อขับไล่ผู้บุกรุก อาจดูประหลาดในสายตาต่างชาติ แต่ในมุมของนักกฎหมายความมั่นคงอย่าง

อ.คมสัน โพธิ์คง กลับถือเป็น “มาตรการนุ่มนวลที่สุด” ที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ก่อบาดเจ็บทางร่างกาย และไม่ใช้อาวุธร้ายแรง

มาตรการนี้จึงสะท้อนการเลือก “รักษาสิทธิ์” โดยไม่ยกระดับความรุนแรง เป็นการส่งสัญญาณเตือนเชิงสัญลักษณ์ว่า ไทยยังคงยืนหยัดในอธิปไตยของตน

อย่างไรก็ดี มาตรการเชิงสัญลักษณ์ย่อมแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราว เพราะ “รากของปัญหา” อยู่ที่บันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และ 2544 ซึ่งเป็นกรอบทางกฎหมายที่ผูกมือไทยให้ขยับยาก

ฝ่ายกัมพูชาใช้ MOU เหล่านี้เป็นเครื่องมืออ้างสิทธิ์รุกคืบ ทั้งทางบกและทางทะเล การแก้ไขจึงต้องเริ่มต้นที่ “การยกเลิก” เพื่อปลดล็อกกับดักทางกฎหมายที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในทุกเวที

ไม่เช่นนั้น สงครามเสียงวันนี้อาจกลายเป็น “เสียงสุดท้าย” ก่อนอธิปไตยจะถูกเจรจาออกไปโดยไม่รู้ตัว

กฎหมายระหว่างประเทศหนุนไทย: เหตุผลที่ต้องเลิก MOU 2543

MOU 2543 เกิดขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย–กัมพูชา แต่ตลอดกว่า 25 ปีที่ผ่านมา กัมพูชาไม่เพียงไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด

หากยังละเมิดต่อเนื่อง ทั้งการเปลี่ยนสภาพพื้นที่ การตั้งถิ่นฐาน และการใช้กำลังทหารในเขตพิพาท

การกระทำเหล่านี้เข้าข่าย “การละเมิดสนธิสัญญาอย่างร้ายแรง” ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ.1969 มาตรา 60 ซึ่งระบุชัดว่า “การฝ่าฝืนสัญญาอย่างร้ายแรงโดยรัฐภาคีฝ่ายหนึ่ง เป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งเลิกสนธิสัญญาได้”

นักวิชาการความมั่นคงชี้ว่า การที่กัมพูชาใช้กำลังอาวุธในการปะทะกับฝ่ายไทย รวมถึงการรุกพื้นที่อย่างต่อเนื่องกว่า 600 ครั้ง ถือเป็นพฤติกรรมที่ “ตอกย้ำความร้ายแรง” ของการละเมิดและทำให้ไทยมีสิทธิ์เลิกสัญญาได้โดยทันที โดยไม่ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

เพราะการยกเลิกเป็น “สิทธิ์ของผู้ถูกละเมิด” ที่ได้รับการรับรองในสนธิสัญญาสากล การดำเนินการเช่นนี้ไม่เพียงปกป้องผลประโยชน์ของชาติ แต่ยังเป็นการยืนยันว่าไทยเคารพหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม สิทธิ์นี้มี “เส้นตายโดยพฤติการณ์” เพราะหากไทยยังเดินหน้าเข้าร่วมประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) หรือ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ภายใต้กรอบ MOU เดิมต่อไป

การกระทำดังกล่าวจะถูกตีความว่า ไทย “ยืนยันความผูกพัน” และหมดสิทธิ์ใช้เหตุละเมิดในอดีตเพื่อบอกเลิกในอนาคต นั่นหมายความว่า “การเจรจาต่อในกรอบเดิม คือการสละสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว” ความเร่งด่วนจึงไม่ได้อยู่ที่ความรู้สึกชาตินิยม แต่อยู่ที่จังหวะทางกฎหมายที่กำลังนับถอยหลัง

เดิมพันเวลาและทะเล: MOU 2544 กับกับดักอธิปไตยทางทะเล

ในปี 2544 ไทยและกัมพูชาได้ลงนาม MOU ว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่ทางทะเลร่วม (Joint Development Area – JDA) โดยหวังลดความตึงเครียด แต่ในทางปฏิบัติ กลับเป็นสนธิสัญญาที่ “ปฏิบัติไม่ได้” (impossible to perform) เพราะเส้นไหล่ทวีปที่กัมพูชาลากขึ้นมา ขัดหลักกฎหมายทะเล (UNCLOS) อย่างร้ายแรง

เส้นดังกล่าวล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทยและผ่ากลางเกาะกูด ซึ่งขัดต่อหลักความเท่าเทียมในการแบ่งเขตทางทะเล การคง MOU นี้ไว้จึงเท่ากับยอมรับกรอบที่บั่นทอนสิทธิ์ไทยโดยตรง

นอกจากนี้ MOU 2543 และ MOU 2544 ยังมีความเชื่อมโยงทางกฎหมายอย่างลึกซึ้ง เพราะเส้นเขตทางทะเลที่กัมพูชาอ้างอิงนั้นยึดหลักเขตทางบกที่ 73 ซึ่งยังหาข้อยุติไม่ได้ภายใต้กรอบ MOU 2543 ที่ถูกละเมิดไปแล้ว หากไม่ยกเลิกทั้งสองฉบับพร้อมกัน ไทยจะไม่สามารถปกป้องสิทธิ์ของตนในทะเลได้อย่างสมบูรณ์

การยกเลิกเพียงฉบับเดียวเปรียบเสมือน “ตัดกิ่งแต่ไม่ถอนราก” ปัญหาจะวนซ้ำกลับมาไม่รู้จบ

ข้อเสนอให้จัดประชามติถามความเห็นประชาชน แม้มีความชอบธรรมในเชิงประชาธิปไตย แต่ในเชิงกฎหมายระหว่างประเทศ “เวลา” คือปัจจัยชี้ขาด หากใช้เวลาหลายเดือนในการจัดประชามติ

ขณะที่ยังเดินหน้าเจรจาภายใต้กรอบเดิมต่อไป จะทำให้สถานะสิทธิ์เลิกสัญญาของไทยหมดไปก่อนผลประชามติจะเสร็จสิ้น

ดังนั้น ทางออกที่ อ.คมสันเสนอ คือให้รัฐบาลออก “มติคณะรัฐมนตรี” หยุดการประชุมและการเจรจาทั้งหมดที่อยู่ภายใต้สอง MOU ไว้ก่อน เพื่อ “แช่แข็งสิทธิ์” เอาไว้จนกว่าจะได้ข้อสรุปทางการเมืองอย่างเป็นทางการ

วิเคราะห์ผลเชิงยุทธศาสตร์

การยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับไม่ใช่การประกาศสงคราม แต่คือการ “ตั้งโต๊ะใหม่” เพื่อให้การเจรจาในอนาคตอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายสากล ไม่ใช่กรอบที่ฝ่ายหนึ่งถูกผูกมือไว้ตั้งแต่ต้น การเดินเกมเช่นนี้ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ของไทยว่าเป็นรัฐที่เคารพกติกา แต่ไม่ยอมเสียเปรียบ การเลิก MOU จึงเป็น “มาตรการเชิงรุกทางกฎหมาย” ที่รักษาเสถียรภาพได้มากกว่าการใช้กำลังทางทหาร

ในเชิงยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนขั้วอำนาจจากมหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ และจีน การคง MOU ที่บกพร่องไว้จะทำให้ไทยกลายเป็น “ผู้เล่นที่ถูกจำกัดขอบสนาม”

ขณะที่กัมพูชาได้อานิสงส์จากการสนับสนุนทางเศรษฐกิจและทหารของต่างชาติ การปลดล็อกพันธะสัญญาเก่าจะทำให้ไทยสามารถกลับมาสร้างพันธมิตรใหม่ ทั้งด้านพลังงาน ความมั่นคงทางทะเล และเศรษฐกิจในอ่าวไทยได้อย่างมีอิสระ

ในระยะยาว การดำเนินการนี้จะกลายเป็น “จุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง” ของนโยบายต่างประเทศไทย จากยุคที่มักถูกตีกรอบด้วยข้อตกลงเสียเปรียบ มาสู่ยุคที่ไทยยืนบนหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างมั่นคง

ขณะเดียวกัน รัฐบาลจำเป็นต้องสื่อสารให้สาธารณชนเข้าใจว่า “การยกเลิก MOU” ไม่ใช่การตัดสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน แต่คือการยกระดับความสัมพันธ์ให้เท่าเทียมและยั่งยืนมากขึ้น

การยกเลิก MOU 43/44 คือการทวงคืนสิทธิ์และศักดิ์ศรีของชาติ ไม่ใช่การสร้างศัตรู แต่เป็นการ “ตั้งต้นใหม่” บนหลักกฎหมายสากล เพื่อรักษาอธิปไตยทางบก–ทางทะเล และผลประโยชน์ของคนไทยทุกคนอย่างยั่งยืน

ข่าวล่าสุด

MIXUE ไทยบริจาค 1 ล้านบาท เร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้