รีแบรนด์“เพื่อไทย”ยกเครื่องประเทศ:เดิมพันอำนาจ-ศรัทธาประชาชน
“เพื่อไทย” ภายใต้การนำของแพทองธาร ชินวัตร เปิดเกมรีแบรนด์ครั้งใหญ่ ใช้ยุทธศาสตร์ “ตาดูดาว เท้าติดดิน” ฟื้นฐานเสียง–เรียกศรัทธา เลือกตั้งปี69 ตั้งเป้ากวาด200สส.
KEY
POINTS
- เป้าหมาย 200 ส.ส.: ยืนยันความแข็งแกร่งและสกัดกั้นข่าวลบที่ว่าพรรคจะอ่อนแอลง
- ยุติเลือดไหล: กลยุทธ์สำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อหยุดยั้งการย้ายพรรค
- ลดภาพ "พรรคเจ้าของ": พิจารณาเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ที่ไม่ใช่ตระกูลชินวัตรเป็นครั้งแรก
เพื่อไทย: กลยุทธ์ "ตาดูดาว-เท้าติดดิน" สู่เป้าหมาย 200 สส. และเดิมพันอำนาจ
กลยุทธ์ของพรรคเพื่อไทยในการเผชิญหน้ากับความท้าทายทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งคือการประกาศ "ยกเครื่องพรรคและยกเครื่องประเทศ" อย่างเป็นระบบ ภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค เพื่อสกัดกั้นการไหลออกของ สส. ฟื้นฟูฐานเสียง และสร้างความเชื่อมั่นในเป้าหมาย ส.ส. 200 ที่นั่ง (บวก/ลบ 10%) ซึ่งเป็นการประกาศจุดยืนที่แข็งแกร่งหลังจากการถูกมองว่าอาจจะได้ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการปฏิรูปโครงสร้างพรรค การปรับภาพลักษณ์ และการขับเคลื่อนนโยบายเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่า "ประชาธิปไตยกินได้" ในสนามการแข่งขันที่ดุเดือดและแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
การประกาศจุดยืนและการตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย
การปรับกระบวนทัพครั้งสำคัญของพรรคเพื่อไทยเริ่มต้นด้วยการประกาศเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทาย โดยมีเดิมพันคือการกลับมาเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง
ความแข็งแกร่งที่ต้องกู้คืน
พรรคเพื่อไทยเผชิญหน้ากับความท้าทายสำคัญคือการ "หยุดเลือดไหล" หรือการหยุดยั้งการไหลออกของ สส. ไปยังพรรคคู่แข่ง โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่เข้ามาแย่งชิงฐานเสียงอย่างหนักในพื้นที่เดิม การประกาศความพร้อมในการสู้และเป้าหมาย 200 ที่นั่ง จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างขวัญกำลังใจภายในพรรคและส่งสัญญาณความมั่นใจไปยังผู้สนับสนุน
การคาดการณ์เชิงยุทธ์: สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการเลือกตั้งของพรรค ได้แสดงการคาดการณ์เชิงบวกว่า การที่กระแสของพรรคคู่แข่ง (พรรคประชาชน/ก้าวไกล) ลดลงหลังจากไปสนับสนุนพรรคอื่น จะทำให้คะแนนกลับคืนสู่พรรคเพื่อไทย โดยเขามองว่าพรรคภูมิใจไทยจะได้ประมาณ 120 ที่นั่ง และพรรคประชาชนจะได้ไม่เกิน 100 ที่นั่ง ซึ่งการคาดการณ์นี้มีนัยยะเพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมให้กับเป้าหมาย 200 ที่นั่งของพรรคตัวเอง
ยกเครื่องโครงสร้างพรรค: สร้างเอกภาพและกระจายอำนาจ
แกนกลางของกลยุทธ์ "ยกเครื่องพรรค" คือการสร้าง เอกภาพ โปร่งใส และความรวดเร็ว ในการตัดสินใจ เพื่อให้พรรคมีความคล่องตัวและพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้งที่เข้มข้น
โครงสร้างการตัดสินใจแบบใหม่
เพื่อลดภาพลักษณ์ "พรรคมีเจ้าของ" และแก้ปัญหาการตัดสินใจที่ล่าช้า พรรคได้ประกาศให้ อำนาจการตัดสินใจหลักอยู่ที่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น โดยเน้นย้ำว่าจะไม่มี "เส้นทางลัดหรือเส้นทางอ้อม" จากบุคคลภายนอก การบริหารงานจะเน้นรูปแบบ รวมหมู่ แต่มีความรวดเร็ว
การกระจายอำนาจสู่ภูมิภาค: มีการกระจายอำนาจไปยัง คณะกรรมการภาคทั้ง 5 ภูมิภาค (อีสาน, เหนือ, กลาง, ใต้, กรุงเทพฯ-ปริมณฑล) เพื่อให้การทำงานในพื้นที่เป็นไปอย่างมีส่วนร่วมและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้ง คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ และ ด้านการเมือง เพื่อให้คำแนะนำที่มาจากประสบการณ์ยาวนานและแผนการในอนาคต
4 เสาหลักการทำงานและคนรุ่นใหม่
พรรคได้ปรับโครงสร้างการทำงานเป็น 4 สำนักหลัก เพื่อให้มีเอกภาพในการขับเคลื่อน:
- สำนักงานกิจการสภาผู้แทนราษฎร: ดูแลงานในสภา
- สำนักนโยบาย: ฟื้น DNA เดิมของพรรคในการศึกษาและวิจัยนโยบาย
- สำนักเลขาธิการพรรค: บริหารงานกลางและประสานงานกับ 5 ภูมิภาค
- สำนักสื่อสารพรรค: ดูแลยุทธศาสตร์การสื่อสารกับประชาชน
นอกจากนี้ยังมีการเปิดพื้นที่สำหรับคนรุ่นใหม่ผ่านโครงการ YPP (Pheu Thai Young Professionals Program) เพื่อบ่มเพาะนักการเมืองรุ่นใหม่ให้ซึมซับแนวคิดพรรคก่อนลงสนามจริง
"ยกเครื่องประเทศ": กลยุทธ์นโยบาย "ตาดูดาว เท้าติดดิน"
หัวใจสำคัญของการฟื้นฟูความนิยมคือการกลับมาขับเคลื่อนด้วยนโยบายที่เชื่อว่า "ประชาธิปไตยกินได้" ผ่านแนวคิด "คิดให้ใหญ่ เพื่อเปลี่ยนประเทศอย่างก้าวกระโดด" (Moonshot)
การสร้างนโยบายเชิงยุทธศาสตร์
พรรคเปิดตัว "เวทีตาดูดาว เท้าติดดิน" (Moonshot Forum) โดยเริ่มที่กรุงเทพฯ ก่อนขยายไปสู่ภูมิภาค เวทีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิจัย และค้นหาทางออกของประเทศในภาวะวิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม การใช้คำว่า "ตาดูดาว" หมายถึงการมองเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และก้าวหน้า ในขณะที่ "เท้าติดดิน" คือการสร้างนโยบายที่ทำได้จริงและตอบโจทย์ชีวิตประชาชนโดยตรง
การปฏิรูประบบราชการและเศรษฐกิจ
พรรคเพื่อไทยมองว่า ระบบราชการ คือรากฐานของการเปลี่ยนแปลง จึงประกาศเจตนารมณ์ที่จะ ยกเครื่องระบบราชการ เพื่อเปลี่ยนค่านิยมจาก “ไม่ทำก็ไม่ผิด” ไปสู่ “ทำเต็มที่เพื่อประชาชน” เพื่อปลดปล่อยศักยภาพของข้าราชการในการบริการประเทศ นอกจากนี้จะเดินหน้าผลักดันนโยบายเพื่อยกระดับชีวิตประชาชน สร้างโอกาสให้คนจน และสร้างหลักประกันให้ผู้ประกอบการ เป็นการตอกย้ำอุดมการณ์เดิมที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ความท้าทายและเดิมพันในสนามจริง
แม้จะมีการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แต่พรรคเพื่อไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่แตกต่างจากยุคเดิมอย่างมาก
บริบทการเมืองที่เปลี่ยนไป
สถานการณ์การเมืองปัจจุบันมีความซับซ้อนและแตกต่างจากยุคไทยรักไทยหรือพลังประชาชน โดยมีการแข่งขันจากพรรคที่เน้นอุดมการณ์ชัดเจน (พรรคประชาชน) และพรรคที่แข็งแกร่งในพื้นที่ (ภูมิใจไทย) เข้ามาเป็นคู่แข่งโดยตรง การไหลออกของ สส. แสดงให้เห็นว่าความภักดีต่อพรรคเดิมลดลง และการต่อสู้ในพื้นที่ฐานเสียงเดิมมีความยากลำบากยิ่งขึ้น
การบ้านที่ต้องทำ: พรรคเพื่อไทยต้องดำเนินการ รักษาสภาพในพื้นที่ฐานเสียงเดิม ทั้งในภาคอีสานและภาคเหนือ และในขณะเดียวกันก็ต้อง สร้างความเชื่อมั่น และกลับมาครองใจคนในพื้นที่ใหม่ๆ โดยเฉพาะ กรุงเทพฯ และจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งเป็นสมรภูมิที่พรรคเคยอ่อนแอ
เดิมพันแคนดิเดตนายกฯ: การประกาศว่าอาจเปิดตัวผู้สมัครนายกฯ ที่ไม่ใช่ตระกูลชินวัตรเป็นครั้งแรก ถือเป็น การเดิมพัน ที่สำคัญเพื่อลดภาพความเป็นพรรคที่ถูกผูกขาด และสร้างการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น การแต่งตั้ง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นนักการเมืองที่เจนจัดและมีเครือข่ายเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง ก็เป็นอีกกลไกสำคัญในการสร้างขวัญกำลังใจและควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่
กลยุทธ์ "รีแบรนด์" ของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้เป็นการผสมผสานระหว่างการ ยกเครื่องโครงสร้างให้เป็นระบบ เพื่อสยบปัญหาภายใน และการ ยกเครื่องประเทศด้วยนโยบาย "ตาดูดาว เท้าติดดิน" เพื่อปลุกกระแสความนิยมจากภายนอก
เป้าหมาย 200 ที่นั่งคือเดิมพันสูงสุดที่ต้องใช้ทั้งเครือข่ายเก่า ประสบการณ์ใหม่ และความสามารถในการดึงคะแนนกลับคืนมาจากการแข่งขันที่ดุเดือด
หากทำสำเร็จ พรรคเพื่อไทยจะกลับมาเป็นผู้กำหนดทิศทางการเมือง แต่หากไม่เป็นไปตามเป้า พรรคอาจต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ในการรักษาฐานอำนาจและอุดมการณ์ "ประชาธิปไตยกินได้" ในระยะยาว


