เพื่อไทยรีเซ็ตบทบาทฝ่ายค้าน หลังอดีตนายกฯทักษิณถูกคุมขัง
เพื่อไทยเร่งปรับกลยุทธ์ใหม่หลังทักษิณเข้าเรือนจำ เดินเกมซักฟอกรัฐบาลอนุทิน ชนภูมิใจไทย–ประชาชน พร้อมรับมือดีลการเมืองพลิกผัน
KEY
POINTS
- ทักษิณถูกคุมขัง ถูกใช้เป็น “สัญลักษณ์ความกล้าหาญ” ดึงคะแนนฐานเสียงเดิมกลับคืน
- เพื่อไทยเปิดศึกสองด้าน ชนภูมิใจไทยในสนามเขต–แข่งขันกับพรรคประชาชนในสนามกระแส
- เดินเกมอภิปรายไม่ไว้วางใจพุ่งเป้าเขากระโดง–ฮั้ว ส.ว. กดดันรัฐบาลและบีบพรรคสีส้มเลือกข้าง
พรรคเพื่อไทย โอกาสใหม่ในบทบาทฝ่ายค้าน
การที่ ทักษิณ ชินวัตร ต้องเข้าเรือนจำ ไม่เพียงแต่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อครอบครัวการเมืองและมวลชนที่ยังยึดโยงกับเขาเท่านั้น แต่ยังสะเทือนต่อพรรคเพื่อไทยในฐานะ “พรรคแม่” ด้วย หากมองในเชิงกลยุทธ์ นี่อาจเป็นการ “ปิดฉากบทหนึ่งเพื่อเปิดอีกบทหนึ่ง” ที่สำคัญ
แม้การถูกจองจำจะเป็นเรื่องเสียหายส่วนบุคคล แต่ฝ่ายเพื่อไทยกลับพยายามพลิกวิกฤตเป็นโอกาส โดยเน้นนำเสนอภาพลักษณ์ “ความกล้าหาญ” ของทักษิณ การที่ไม่หลบเลี่ยงการรับโทษอาจถูกใช้สร้างแรงสะเทือนทางอารมณ์แก่ผู้สนับสนุน และต่อยอดกลายเป็นการเรียกคะแนนเสียงที่เคยหายไปในช่วงที่พรรคเข้าไปร่วมรัฐบาลตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
บรรยากาศเช่นนี้ช่วยให้เพื่อไทยสามารถรีแบรนด์ตนเองในฐานะฝ่ายค้านที่ “ยืนข้างประชาชน” อีกครั้ง ซึ่งเป็นภาพที่เคยทำให้พรรคกวาดคะแนนเสียงได้อย่างถล่มทลายในอดีต การสร้างการสื่อสารใหม่ เช่น การเผยแพร่ “จดหมายจากคุก” หรือการสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ อาจถูกใช้เพื่อเรียกศรัทธาและขยายฐานสนับสนุน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานซึ่งเป็นฐานเสียงดั้งเดิม
สมรภูมิหลายแนวรบของเพื่อไทย
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยพยายามยืนหยัดในบทบาทฝ่ายค้านเต็มตัว ก็ต้องเผชิญ สงครามหลายแนวรบ ที่กดดันอย่างหนัก
การปะทะกับพรรคภูมิใจไทยและเครือข่ายสีน้ำเงิน
การแข่งขันในพื้นที่เขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือ กลายเป็นเวทีหลักที่ทั้งสองพรรคต้องช่วงชิงกันอย่างดุเดือด เพราะเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายมีฐานสนับสนุนอยู่ก่อนแล้ว พรรคภูมิใจไทยอาศัยอำนาจรัฐและกลไกบริหารในฐานะรัฐบาล ส่วนเพื่อไทยต้องใช้กลยุทธ์เชิงการเมืองและเครือข่ายท้องถิ่นมาต่อสู้
การต่อกรกับพรรคประชาชน (สีส้ม)
พรรคประชาชนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในระบบบัญชีรายชื่อและในมิติของการสร้างกระแสสังคม เพื่อไทยจึงต้องหากลยุทธ์ที่แตกต่าง ไม่ใช่แค่การแข่งกันด้านนโยบาย แต่ยังรวมถึงการวางตัวเป็น “ฝ่ายค้านที่แท้จริง” เพื่อลดแรงดึงดูดของพรรคสีส้มในหมู่คนรุ่นใหม่
กลยุทธ์ในสภา
เพื่อไทยวางหมากสำคัญคือการเร่งอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอนุทินในช่วง ปลายเดือนตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายน ก่อนปิดสมัยประชุม โดยมุ่งเป้าไปที่สองประเด็นร้อนคือ
คดีที่ดินเขากระโดง: ปมปัญหาที่โยงตรงไปยังบทบาทของกระทรวงมหาดไทยซึ่งอยู่ในการกำกับของพรรคภูมิใจไทย
กรณีการฮั้ว ส.ว.: ประเด็นที่เชื่อมโยงถึงการคัดเลือกวุฒิสมาชิกและความโปร่งใสทางการเมือง
การซักฟอกเหล่านี้ไม่เพียงมุ่งโจมตีรัฐบาล แต่ยังเป็นเครื่องมือกดดันพรรคประชาชนให้ต้อง “เลือกข้าง” ในการโหวต ซึ่งอาจทำให้พรรคสีส้มเผชิญความลำบากในการรักษาสมดุลทางการเมือง
การเมืองความไม่แน่นอนและความท้าทายข้างหน้า
การเมืองไทยในห้วงเวลานี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน “ดีล” ต่าง ๆ ทั้งบนโต๊ะและใต้โต๊ะ สามารถเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ พรรคเพื่อไทยจึงต้องเตรียมรับมือกับความพลิกผัน ไม่ว่าจะเป็นการยุบสภาเร็วเกินคาด หรือเกมการเมืองที่บิดเบี้ยวไปจากข้อตกลงเดิม
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ พรรคเพื่อไทยต้องต่อสู้ สองสนามพร้อมกัน
สนามพื้นที่ สส.เขต กับพรรคภูมิใจไทย
สนามกระแสทางการเมืองและนโยบาย กับพรรคประชาชน
ในสถานการณ์เช่นนี้ บทบาทของพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านจึงไม่ใช่แค่การตรวจสอบรัฐบาล แต่ยังต้องสร้างพลังการเมืองใหม่เพื่อยืนหยัดในอนาคต โดยมีการคุมขังของทักษิณเป็นทั้ง เงื่อนไขและสัญลักษณ์ ที่สามารถนำมาใช้เป็นทุนทางการเมือง
สรุปได้ว่า การเมืองหลังจากนี้คือเกมที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ทุกการเคลื่อนไหว ทุกคำพูด และทุกดีล อาจพลิกทิศทางของสมการอำนาจ และกำหนดชะตาของพรรคเพื่อไทยว่าจะกลับมาผงาดได้อีกครั้ง หรือจะถูกบีบให้เป็นเพียง “ฝ่ายค้านที่ไร้อำนาจต่อรอง” บนกระดานการเมืองที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย


