posttoday

นับถอยหลังรัฐบาลสีน้ำเงิน ปมแก้รัฐธรรมนูญเขย่าเสถียรภาพ

12 กันยายน 2568

การเมืองไทยจับตา รัฐบาลภูมิใจไทยเสียงข้างน้อย ต้องเผชิญแรงรุกจากพรรคประชาชนและฝ่ายค้าน ปมแก้รัฐธรรมนูญอาจเป็นชนวนเขย่ารัฐบาล

KEY

POINTS

  • รัฐบาลสีน้ำเงินเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอย่างแท้จริง ทำให้ขาดเสถียรภาพอย่างรุนแรงตั้งแต่เริ่มต้น
  • ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลายเป็นชนวนขัดแย้งหลัก โดยฝ่ายค้านใช้เป็นเครื่องมือกดดันและเขย่าเสถียรภาพรัฐบาล
  • แรงกดดันจากปมแก้รัฐธรรมนูญทำให้รัฐบาลเผชิญภาวะ "นับถอยหลัง" และมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอายุสั้นหรือต้องยุบสภา

รัฐบาล “สีน้ำเงิน” ภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทย ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความสับสนและความไม่แน่นอนทางการเมืองมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่ แม้จะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและตั้งคณะรัฐมนตรีครบถ้วน แต่กลับขาดฐานเสียงในสภาผู้แทนราษฎรอย่างรุนแรง จนถูกเรียกขานว่า “รัฐบาลเสียงข้างน้อยอย่างแท้จริง” ต่างจากอดีตรัฐบาล “ปริ่มน้ำ” ที่ยังพอรักษาสมดุลได้ด้วยเกมต่อรอง

สถานการณ์นี้ยิ่งทวีความเปราะบางเมื่อมีแรงกดดันจากฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชน (หรือที่รู้จักในฐานะ “พรรคส้ม”) ที่ยึดประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นธงนำ พร้อมเดินเกมเชิงรุกเพื่อบีบให้รัฐบาลต้องขยับทันที ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ยังรักษาฐานเสียงขนาดใหญ่ ก่อรูปเป็น “สองขั้วฝ่ายค้าน” ที่มีอำนาจต่อรองสูงที่สุดในรอบหลายปี

คำถามใหญ่จึงไม่ใช่ว่า รัฐบาลจะอยู่รอดครบวาระหรือไม่ แต่คือ “รัฐบาลจะอยู่ได้นานแค่ไหนก่อนถูกนับถอยหลังจริง ๆ”

1. รัฐบาลเสียงข้างน้อยที่แท้จริง

การจัดตั้งรัฐบาลสีน้ำเงินครั้งนี้มีที่มาจากการเปลี่ยนขั้วการเมืองหลังการล่มสลายของรัฐบาลเพื่อไทย-ก้าวไกลเดิม ภูมิใจไทยที่เดิมเป็นเพียงพรรคตัวแปร กลับก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ด้วยเงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวย

องค์ประกอบเสียงในสภา:
จาก ส.ส. ทั้งหมด 491 คน (หลังมีการลาออกไป 1 คน) กึ่งหนึ่งคือ 246 เสียง ฝ่ายค้านครองถึง 332 เสียง แบ่งเป็นพรรคประชาชน 143 เสียง พรรคเพื่อไทย 159 เสียง และพรรคขนาดเล็กอื่น ๆ ขณะที่รัฐบาล 8 พรรคที่นำโดยภูมิใจไทยมีเพียง 159 เสียง ต้องการเพิ่มอีกถึง 80 เสียงเพื่อให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากอย่างน้อย

สถานะที่ไม่มั่นคง:
รัฐบาลเสียงข้างน้อยเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยนักในระบบรัฐสภาไทย เพราะการผ่านร่างกฎหมายสำคัญ แถลงนโยบาย หรือแม้แต่การบริหารราชการประจำ ล้วนต้องพึ่งพาการประนีประนอมและ “เสียงยืม” จากฝ่ายค้าน

ความหมายเชิงการเมือง:
นี่ไม่ใช่แค่ “ปริ่มน้ำ” แต่คือ “ตกน้ำตั้งแต่เริ่มต้น” การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ภาวะที่รัฐบาลต้องทำงานโดยไร้เสถียรภาพตั้งแต่วันแรก
 

2. ปมร้อน: การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

2.1 คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยสำคัญว่า รัฐสภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญได้จริง แต่ไม่มีอำนาจเปิดทางให้ประชาชนเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรง อีกทั้งยังตีความว่าการทำประชามติควรมี 3 ครั้ง (เริ่มต้น, รับร่าง, และอนุมัติฉบับสุดท้าย) แต่สามารถรวมรอบแรกกับรอบสองได้หากออกแบบดี

คำวินิจฉัยนี้จึงถูกมองว่าเป็น “คานถ่วง” ต่อความพยายามปฏิรูปรัฐธรรมนูญโดยตรงจากประชาชน

2.2 ท่าทีพรรคประชาชน

พรรคประชาชนเห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวคือการจำกัดอำนาจประชาชนและรัฐสภา พรรคจึงยืนหยัดเดินหน้าผลักดัน สสร. โดยใช้กลวิธีทางอ้อม เช่น การออกแบบกฎหมายประชามติใหม่ การใช้รัฐสภาเป็นผู้เลือกตั้งทางอ้อม แต่มีประชาชนมีส่วนร่วมสูงสุด

ที่สำคัญ พรรคประชาชนยืนกรานว่า รัฐสภาต้องเริ่มเดินหน้าตามหมวด 15 ของรัฐธรรมนูญโดยทันที ไม่ควรรอรัฐบาลแถลงนโยบาย และควบคู่ไปกับการร่างคำถามประชามติให้เสร็จพร้อมกัน

พรรคประชาชนจึงกลายเป็น “ผู้กำกับคุมเกมส์” ที่คอยลงแส้บีบรัฐบาลให้ขยับเร็ว

2.3 ท่าทีพรรคภูมิใจไทย

ตรงกันข้าม พรรคภูมิใจไทยเลือกวางท่าที “พลิ้ว” โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ระบุว่า “อย่าไปกดดัน ต้องมีความเชื่อใจซึ่งกันและกัน” พร้อมย้ำว่าการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา หากทำได้ใน 4 เดือนก็ถือว่าดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องพักไว้

การตั้งคณะทำงานศึกษาการทำประชามติ โดยมีคุณชัยชนะ ชิดชอบ เป็นหัวหน้าทีม ถูกวิพากษ์ว่าเป็น “การซื้อเวลา” มากกว่าการเดินหน้าอย่างจริงจัง

2.4 ท่าทีวุฒิสภา

สมาชิกวุฒิสภาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งโดยตรง อ้างอิงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และยืนยันว่าจะไม่รับรองหากมีการเขียนกฎหมายเอื้อในทำนองนั้น แม้เป็นทางอ้อมก็ตาม

สรุปแล้ว ปมแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงเป็นเหมือน “กับดักการเมือง” ที่ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลต่างมองในมุมตรงข้าม

3. กลยุทธ์และแรงกดดันทางการเมือง

ฝ่ายค้าน (พรรคประชาชน-เพื่อไทย):

พรรคประชาชนเดินหน้าโจมตีตรงไปยังประเด็นรัฐธรรมนูญ ใช้พลังฐานเสียงคนรุ่นใหม่และกลุ่มประชาธิปไตยกดดันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พรรคเพื่อไทยใช้บทบาทฝ่ายค้านขนาดใหญ่ คอยเสริมเกมในสภาและเล่นบทถ่วงดุล

รัฐบาลภูมิใจไทย:

ใช้ยุทธศาสตร์ “ถ่วงเวลา” พร้อมนำเสนอผลงานเชิงนโยบายเศรษฐกิจ เช่น “โค้กคนละครึ่งพลัส” หรือโครงการประชานิยมด้านขนส่งอย่าง “รถไฟฟ้า 20 บาท” เพื่อสร้างเครดิตกับประชาชน โดยหวังดึงเวลาให้อยู่อย่างน้อย 4 เดือน

ปมสับสน 4 เดือน:

นายกรัฐมนตรีเคยระบุว่า หากครบ 4 เดือนแล้วไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้จะยุบสภา แต่คำพูดนี้ยังคลุมเครือว่า หมายถึงเงื่อนไขที่ฝ่ายค้านจะไม่กดดัน หรือหมายถึงสัญญาที่รัฐบาลต้องทำสำเร็จภายใน 4 เดือน

แรงกดดันภายนอก:
กลุ่ม “นักร้อง” ที่พร้อมยื่นตรวจสอบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกระเบียบประชามติไปจนถึงการแต่งตั้งคณะทำงาน อาจกลายเป็นตัวเร่งให้ปัญหาบานปลาย

4. โจทย์อื่น ๆ ของรัฐบาลภูมิใจไทย

นอกจากรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐบาลยังเผชิญโจทย์ใหญ่หลายด้าน

การตรวจสอบครม.: รายชื่อรัฐมนตรีที่มาจากโควตาพรรคและนอกพรรค ถูกจับตามองว่าจะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่

นโยบายประชานิยม: เช่น รถไฟฟ้า 20 บาท ที่ยังต้องใช้เงินอุดหนุนจำนวนมาก

การบริหารราชการ: ปมการโยกย้ายข้าราชการมหาดไทยซึ่งเพิ่งมีข้อถกเถียงกับคุณภูมิธรรม

ไฟใต้: ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังไม่มีสูตรสำเร็จ

การค้าชายแดน: โดยเฉพาะความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาที่มีปัญหาพื้นที่ทับซ้อน

5. วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้ม

5.1 ผลกระทบระยะสั้น

รัฐบาลจะถูกบีบให้เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญอย่างช้า ๆ

ฝ่ายค้านใช้สภาเป็นเวทีรุกเต็มกำลัง

ความเสี่ยงต่อการล้มครืนของรัฐบาลเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่มีการลงมติสำคัญ

5.2 ผลกระทบระยะกลาง

หากรัฐบาลยังดึงเวลา พรรคประชาชนจะยิ่งได้เครดิตจากฐานเสียง

เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ จะยิ่งลดคะแนนนิยมของรัฐบาล

การยุบสภาอาจเกิดขึ้นภายใน 6-12 เดือน

5.3 ผลกระทบระยะยาว

การเมืองไทยอาจเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่เร็วกว่าที่คิด

พรรคประชาชนและเพื่อไทยจะได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง

พรรคภูมิใจไทยอาจเสียตำแหน่งแกนนำ แม้ยังรักษาฐานเสียงในพื้นที่ชนบท

บทสรุป: นับถอยหลังตั้งแต่วันแรก

รัฐบาลสีน้ำเงินกำลังเผชิญภาวะ “นับถอยหลัง” ตั้งแต่ยังไม่ทันตั้งไข่ ด้วยสถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อยและแรงกดดันอย่างหนักจากฝ่ายค้าน โดยเฉพาะประเด็นแก้รัฐธรรมนูญที่กลายเป็นชนวนหลัก

พรรคภูมิใจไทยเลือกที่จะดำเนินงานอย่างรอบคอบและอาจใช้เวลา แต่พรรคประชาชนต้องการความรวดเร็ว จึงทำให้เกิดการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง คำถามคือ รัฐบาลชุดนี้จะอยู่รอดครบวาระหรือไม่ หรือจะกลายเป็นเพียง “รัฐบาลเฉพาะกาล” ที่ถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งในรัฐบาลอายุสั้นที่สุดของไทย

ข่าวล่าสุด

คลังชง ครม.สัปดาห์หน้า เคาะอัปสกิลร้านค้า คนละครึ่งพลัส 4 แสนราย วงเงิน 800 ล้าน