posttoday

ไทม์ไลน์ดำเนินคดีพระชั้นผู้ใหญ่เบิกทางสังคายนา-ปฏิรูปสงฆ์ไทย

19 กรกฎาคม 2568

เปิดไทม์ไลน์ก่อนล็อคเป้าพระชั้นผู้ใหญ่โกงเงินบริจาควัดโยงสีกา สะเทือนวงการพุทศาสนา เบิกทางเปิดฉากทัศน์ "สังคายนา"และ"ปฏิรูป" วงการสงฆ์ไทยครั้งใหญ่

KEY

POINTS

  • การเพิกถอนสมณศักดิ์พระสงฆ์ 81 รูป และพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชให้สังคายนากฎหมายสงฆ์เพื่อเพิ่มความเข้มงวด 
  • "บิ๊กเต่า" เตรียมเปิดคดีสอบสวนพระชั้นผู้ใหญ่ที่มีสมณศักดิ์สูงในข้อหาทุจริตเงินบริจาคสร้างวัดหลายร้อยล้านและมีความสัมพันธ์กับสีกา  
  • ผบ.ตร. ยืนยันสนับสนุนการดำเนินคดีอย่างเต็มที่ และได้จัดตั้งศูนย์ร้องเรียนการกระทำผิดของพระสงฆ์เพื่อบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • เหตุการณ์ทั้งหมดถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การปฏิรูปวงการสงฆ์ไทยครั้งสำคัญเพื่อฟื้นฟูศรัทธาของประชาชน

"คดีพระชั้นผู้ใหญ่"เขย่าศรัทธาเดิมพันอนาคตพุทธศาสนา

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา วงการผ้าเหลืองและสังคมไทยต้องจับตากับความเคลื่อนไหวที่สำคัญหลายระลอก โดยเฉพาะสัญญาณการเตรียมเปิด "คดีพระชั้นผู้ใหญ่" ที่มีสมณศักดิ์สูงกว่าในคดี "สีกากอล์ฟ" อันเป็นที่กล่าวขวัญก่อนหน้านี้ การออกมาให้ข้อมูลของ "บิ๊กเต่า" พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ได้จุดชนวนความสนใจว่าอะไรคือเบื้องหลังของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และจะนำไปสู่การสังคายนาวงการสงฆ์ครั้งสำคัญได้หรือไม่

จุดเริ่มต้นแห่งความไม่ปกติ: การเพิกถอนสมณศักดิ์

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระบรมราชโองการสำคัญ "ยกเลิก" ประกาศสถาปนาและพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์พระสงฆ์จำนวน 81 รูป ที่เพิ่งประกาศไปเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษา การยกเลิกครั้งนี้มีผลย้อนหลังถึงวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 ท่ามกลางคำถามในสังคมว่าเหตุใดจึงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน

"บัญชา" จากเบื้องสูง: สังคายนากฎหมายสงฆ์

เพียง 2 วันหลังจากการยกเลิกสมณศักดิ์ ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้เข้าเฝ้าถวายเครื่องสักการะแด่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ การเปิดเผยของนายภูมิธรรมว่า สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระบัญชาให้ "สังคายนากฎหมายสงฆ์" โดยเน้นย้ำให้เพิ่มความเข้มงวดของกฎหมายเก่า เพื่อให้สามารถจัดการกับพระสงฆ์ที่กระทำผิดวินัยได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกระทำผิดถึงขั้น "อาบัติปาราชิก" ต้องดำเนินการไปตามพระธรรมวินัยที่มีอยู่ การเน้นย้ำถึงความร่วมมือของทุกฝ่ายในการธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา สะท้อนถึงความห่วงใยและพระประสงค์ที่จะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ ซึ่งทรงระบุว่าเป็นเพียง "ส่วนน้อย" ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสีย

ในวันเดียวกันนั้น นายภูมิธรรมยังเปิดเผยถึงการรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับ "คดีใหม่" ที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว กำลังจะดำเนินการ ซึ่งมีพระชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้อง โดยได้กำชับให้ "บิ๊กเต่า" ดำเนินการอย่างเต็มที่ และให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้ามาเสริมด้วย นี่คือสัญญาณแรกที่ชัดเจนจากภาครัฐถึงการเอาจริงเอาจังกับปัญหา
 

"บิ๊กเต่า" แย้มคดีพระชั้นผู้ใหญ่สะเทือนวงการสงฆ์

และแล้วในวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 "บิ๊กเต่า" พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ก็ออกมายืนยันด้วยตนเองว่ากำลังจ่อสอบสวน "พระชั้นผู้ใหญ่" ที่มีสมณศักดิ์สูงกว่าพระในคดี "สีกากอล์ฟ" โดยระบุถึง ข้อหาเบื้องต้น ว่าเป็นการ ทุจริตเงินบริจาคสร้างศาสนสถานมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ และที่น่าตกใจคือมีความ "เกี่ยวข้องกับสีกา" แต่เป็นคนละรายกับ "สีกากอล์ฟ" ในคดีก่อนหน้านี้

"บิ๊กเต่า" ชี้แจงว่าเรื่องนี้มีการร้องเรียนเข้ามาที่ศูนย์ทำนุบำรุงศาสนามานานแล้ว แม้จะยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อ วัด หรือรายละเอียดเพิ่มเติมได้ แต่ยืนยันว่าตำรวจกำลังรวบรวมพยานหลักฐานอย่างครบถ้วน และมั่นใจว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะเข้าตรวจค้นและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในเร็วๆ นี้ พร้อมส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ที่จะพบว่ามีความผิดถึงขั้น "ปาราชิก" ซึ่งถือเป็นอาบัติหนักที่สุดของพระสงฆ์

ผบ.ตร.ประสานเสียง: เดินหน้าเต็มสูบ...ไม่ทำลายพุทธศาสนา
จากนั้นไม่นาน พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนการทำงานของ "บิ๊กเต่า" อย่างเต็มที่ โดยเปิดเผยว่ามีการจัดตั้ง "ศูนย์ร้องเรียนการกระทำผิดของพระสงฆ์" ขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงาน ได้แก่ ตำรวจ, ป.ป.ช., ป.ป.ท., ปปง. และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่อบูรณาการข้อมูลและแนวทางการแก้ไขปัญหา

ผบ.ตร. ยืนยันว่าได้รับรายงานและทราบเรื่องกรณีการร้องเรียนพระชั้นผู้ใหญ่รายใหม่นี้แล้ว โดยระบุว่าเป็นพระที่อยู่ใน พื้นที่ต่างจังหวัด ไม่ใช่กรุงเทพมหานคร และเกี่ยวข้องกับสีกา ส่วนจะเกี่ยวข้องกับเงินหรือไม่นั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและรวบรวมพยานหลักฐาน

ที่สำคัญคือ ผบ.ตร. ได้กล่าวชื่นชม "บิ๊กเต่า" ว่าเป็นผู้ตั้งใจทำงาน และยืนยันว่าตำรวจไม่ได้มีความขัดแย้งกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อย่างที่มีกระแสข่าว แต่เป็นเพียงการสื่อสารที่อาจทำให้เข้าใจผิดกัน พร้อมระบุว่าศูนย์ร้องเรียนฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนมาแล้วถึง 69 เรื่อง

ผบ.ตร. ย้ำชัดว่า ไม่มีเจตนาที่จะทำลายสถาบันพระพุทธศาสนา แต่เป้าหมายคือการ "หยุดยั้งกระบวนการก่อนที่จะทำให้เกิดความเสียหาย" และจะดำเนินการกับทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีการละเว้น

อนาคตที่ต้องจับตา: การสังคายนาครั้งสำคัญ?

ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า คดีพระชั้นผู้ใหญ่รายใหม่นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่คดีอาญาปกติ แต่เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความพยายามในการ "สังคายนา" และ "ปฏิรูป" วงการสงฆ์ไทยครั้งใหญ่ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา และกอบกู้ศรัทธาที่กำลังสั่นคลอน

การที่ทั้งสมเด็จพระสังฆราช ภาครัฐ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่างออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนและสนับสนุนการดำเนินการอย่างเต็มที่ ทำให้เชื่อได้ว่าในระยะอันใกล้นี้ จะมีความคืบหน้าและรายละเอียดของคดีนี้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญถึงความโปร่งใสและธรรมาภิบาลในวงการคณะสงฆ์.

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เบรนท์ฟอร์ด พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68