posttoday

ควรหลุดพ้น

25 มิถุนายน 2561

ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยยังคงมีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

โดย...ทองพระราม

ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยยังคงมีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา แม้หลายยุคหลายสมัยจะพยายามขจัดขัดเกลาเรื่องดังกล่าวลดลง จนแทบไร้ร่องรอยหลงเหลือ

แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคงปรากฏให้เห็นอยู่หลายเรื่อง ไล่เรียงมาตั้งแต่การศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ และสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของความเสมอภาคทางกฎหมาย

หลายต่อหลายรัฐบาลเร่งลงมือแก้ไข ทว่ากลับทวนวนอยู่กลางอ่าง อันเนื่องด้วยมองเห็นถึงสภาพคล่องในอำนาจทางการเมืองเกรงจะเสื่อมสภาพไปตามสมัยนิยม

จนทำให้เรื่องการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำต่างๆ ของสังคมไทยไม่รุดหน้าไปไหน เดินวนอยู่กับที่ แม้หวังเฉกเช่นเดียวกันนานาชาติอันเจริญแล้วก็ตามที

ปัญหาอันเห็นเด่นชัดที่ทำให้เรื่องดังกล่าวต้องหยุดชะงัก คือ อิทธิพลของการเมือง ซึ่งสะท้อนเห็นเด่นชัดจากวงเสวนา Direk Talk ความขัดแย้งและสันติภาพ นโยบายรัฐ และประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา

โดย ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกผลการศึกษาจากนักวิชาการฝรั่งเศส ได้สรุปว่า “ความเหลื่อมล้ำทั่วโลกจะเจริญต่อไปและเลวลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นสภาพปกติ”

เมื่อมองย้อนดูประเทศไทยที่กำลังอยู่ระหว่างการเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้ไปสู่จุดเรียกว่าประชาธิปไตย แต่ประเด็นความเหลื่อมล้ำยังไม่เสื่อมคลายลง ซึ่ง ศ.ดร.ผาสุก ได้สะท้อนไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการเข้าสู่อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี

ยกชูปัญหาดังกล่าวเข้าไปใส่ในรัฐธรรมนูญฉบับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย อดีตประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ได้ร่างไว้ก่อนถูกล้มทั้งฉบับแบบไม่เป็นท่า

อันเนื่องด้วยปัญหาดังกล่าวประหนึ่งทุเลาลง ก่อนละเลยหมางเมินไปใจใส่กับเรื่องอื่น นั่นคือเสถียรภาพทางการเมือง ที่คอยรุมเร้ารัฐบาลเสมือนกับเงาติดตามตัว

จนประเด็นนี้ถูกกางออกมาไม่สุด แม้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ร่างโดย มีชัย ฤชุพันธ์ุ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและคณะ แม้จะถูกการันตีไว้ให้เป็นฉบับปราบโกง

ความคาดหวังจากประชาชนรวมถึงทิศทางการเมืองประเทศไทยในอนาคต ถือเป็นประกายที่รัฐบาลตั้งมั่นไม่ให้ซ้ำรอยอย่างเช่นอดีตขมขื่นตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา

แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่เคยคลายตัวไปไหน แม้จะมีมากี่รัฐบาลทั้งจากเสียงประชาชน หรือการรัฐประหารยึดอำนาจ มิสามารถทำเรื่องนี้คลายตัวได้อย่างเล็งเห็นผล

รัฐบาล คสช.ในฐานะที่ยอมสละก้าวมาสู่อำนาจเพื่อควบคุมการบริหารประเทศให้เป็นทิศทางอันควร ก็จงอย่ามองข้ามแม้เสียงประชาชนตอนนี้อาจเปล่งออกมาไม่ดังมากนัก

ที่กล่าวเช่นนี้เพราะอาจมีผลต่อวันข้างหน้า โดยเฉพาะการเติบโตเศรษฐกิจประเทศ และหากตราบใดคนมีอำนาจ มีสตางค์ อยู่เหนือความเท่าเทียมกัน

ก็คงยากพาชาติให้หลุดพ้นวังวน โดยอย่าลืมว่าประชาชนทั้งประเทศ แม้จะตัวเล็กๆ แต่คือฟันเฟืองสำคัญต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญไปสู่ข้างหน้าได้เทียบเท่ากับชาติอารยะ