Wrong Man, Wrong Job, Worst Time: บทเรียนจากวิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่
“ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของรัฐ ไม่ใช่การประเมินน้ำที่ต่ำไป แต่คือการประเมิน ‘คน’ ต่ำไป”
เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ที่ผ่านมานี้ ไม่ได้เป็นเพียงภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ แต่เป็นเหตุการณ์ที่เผยให้เห็นความเปราะบางของประเทศต่อวิกฤตที่ควรป้องกันได้
ปริมาณน้ำมหาศาลที่หลากทะลักเข้าสู่ตัวเมืองเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง แต่เงาที่ท่วมทับจิตใจผู้คนนั้นหนักกว่า ความรู้สึกว่า “รัฐไม่อยู่ตรงนั้นในเวลาที่ควรอยู่” เหตุการณ์ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของน้ำ หากเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ และความสามารถของผู้มีหน้าที่ปกป้องประชาชน
Crisis management ล้มเหลว เพราะเราวางคนผิดที่ ในตำแหน่งที่ผิดเวลา
การจัดการวิกฤตที่ผ่านมานี้ คล้ายห้องควบคุมที่ไฟฉุกเฉินกะพริบแดงทุกดวง แต่คนที่ยืนอยู่หน้าปุ่มควบคุมกลับไม่รู้จะกดอะไรก่อน การแต่งตั้งบุคลากรเฉพาะการณ์ให้บริหารสถานการณ์วิกฤตโดยไม่มีกลไกประสานงานกลาง การแบ่งงานแบบไร้ทิศทาง และการตัดสินใจที่ช้าเกินไป ทำให้กระบวนการกู้ภัยเป็นไปอย่างไร้ประสิทธิภาพ เหมือนภารกิจที่ “ต่างคนต่างทำ” มากกว่าการเป็นภารกิจร่วมกันของรัฐ
ในสถานการณ์ที่ทุกนาทีหมายถึงชีวิต “การวางคนผิดตำแหน่ง” คือ ความเสี่ยงเชิงนโยบายที่อันตรายยิ่งกว่าปริมาณน้ำฝน เพราะมันนำไปสู่การตัดสินใจผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะเมื่อผู้ออกคำสั่งไม่เข้าใจระบบบัญชาการภัยพิบัติ ไม่เข้าใจภูมิศาสตร์พื้นที่ และการสื่อสารที่คลุมเครืออาจเสี่ยงพอ ๆ กับกระแสน้ำเชี่ยวกราก
“Miscommunication ทำให้วิกฤตใหญ่ขึ้น ไม่ใช่การทะลักของน้ำ แต่คือ ข้อมูลที่ท่วมทับผู้คน”
– สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม คือการสื่อสารที่ไร้เอกภาพ
– รัฐให้ข้อมูลล่าช้าและขัดแย้งกันเอง
– ศูนย์บัญชาการไม่มีข้อมูลกลาง
– เส้นทางปลอดภัยและศูนย์พักพิงประกาศอย่างไร้ทิศทาง
– สื่อรายงานจากพื้นที่จริงเร็วกว่าข้อมูลทางการ
– โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยข่าวลือ และความหวาดกลัว
ประชาชนจึงต้องตัดสินใจบนข้อมูลที่ไม่เพียงพอ บางบ้านอพยพช้าเพราะเชื่อคำแถลง บางบ้านทิ้งทรัพย์สินหมดเพราะเชื่อโพสต์ในกลุ่มไลน์ ความจริงคือทั้งสองฝ่ายต่างทำไปเพราะต้องการเอาตัวรอด แต่รัฐกลับไม่สามารถทำหน้าที่เป็น “แหล่งข้อมูลกลางที่เชื่อได้” ได้เลย
สิ่งที่หายไปมากกว่าสิ่งของ คือความไว้วางใจต่อรัฐ
น้ำท่วมสามารถฟื้นฟูได้ ถนนสามารถซ่อมได้ แต่สิ่งที่ซ่อมยากที่สุดคือ “ความเชื่อใจ” ของประชาชนต่อผู้มีอำนาจ ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการรู้สึกว่าในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด รัฐบาลไม่เพียงไร้ทิศทาง แต่ยังไม่ยอมรับความผิดพลาดตั้งแต่แรกเริ่ม
ความเจ็บปวดของครอบครัวที่เห็นข้าวของลอยไปต่อหน้า ความตื่นกลัวของคนที่ต้องปีนขึ้นหลังคา ความสิ้นหวังของผู้ป่วยติดเตียงที่ถูกอพยพช้าเกินไป ไม่ได้เกิดจากน้ำเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการบริหารจัดการวิกฤตที่ไม่ตอบสนองต่อความจริงในพื้นที่
บทเรียนครั้งนี้ต้องไม่จบลงที่คำเสียใจ แต่นำไปสู่การตั้งคนที่ ‘ถูกต้อง’ ในงานที่ ‘ถูกต้อง’
หาดใหญ่ปี 2568 ไม่ควรเป็นเพียงเหตุการณ์ที่ลงในรายงานราชการ หากต้องเป็นจุดตั้งต้นของการปฏิรูประบบการรับมือภัยพิบัติทั้งระบบ ประชาชนไม่ได้ต้องการผู้นำที่เดินลุยน้ำเพื่อถ่ายรูป แต่ต้องการผู้นำที่สามารถสื่อสารอย่างชัดเจน ตัดสินใจบนข้อมูลจริง และประสานงานทุกฟังก์ชันของรัฐให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกันเพราะเมื่อวิกฤตครั้งใหม่มาถึง
สิ่งที่ประเทศต้องการไม่ใช่ “ตำแหน่งทางการเมือง” แต่เป็น ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ตัดสินใจ และผู้นำวิกฤตที่แท้จริง
และสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องในตอนนี้ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า “อย่าให้ความสูญเสียเกิดขึ้นเพราะการเลือกคนผิดอีกต่อไป”
“No wrong man. No wrong job. Not when it matters most.”


