เหวี่ยงแรง! จับตาเฟด–ทรัมป์–ภูมิรัฐศาสตร์ ดันราคาทองพุ่ง 3,720 เหรียญฯ
ท่ามกลางแรงกดดันจากเฟด การเมืองโลก ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ดันทองคำพุ่ง 3,370 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ธนาคารกลางจีนซื้อทองต่อเนื่อง-นักลงทุน ETF แห่กลับเข้าตลาด ลุ้นทดสอบ 3,560–3,720 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ปี 2026
KEY
POINTS
- ท่ามกลางแรงกดดันจากเฟด การเมืองโลก ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ดันทองคำพุ่ง 3,370 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
- ธนาคารกลางจีนซื้อทองต่อเนื่อง-นักลงทุน ETF แห่กลับเข้าตลาด
- ลุ้นทดสอบ 3,560–3,720 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ปี 2026
ในเดือนสิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ราคาทองคําเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบที่ 3,280–3,410 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยขับเคลื่อนจากสามปัจจัย ได้แก่ การคาดการณ์นโยบายการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป, ความเสี่ยงทางการเมือง และความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
โดยในสัปดาห์แรกของเดือน ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯที่ออกมาต่ำกว่าคาด จุดกระแสการคาดการณ์ว่าเฟด อาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (FFR) เร็วสุดในเดือนกันยายน ส่งผลให้ราคาทองปรับตัวขึ้น
ขณะเดียวกันความผันผวนเพิ่มสูงขึ้นจากความสับสนเรื่องภาษีนําเข้าทองคําแท่งของสหรัฐฯ โดยราคาฟิวเจอร์สที่นิวยอร์กพุ่งสูงกว่าราคาสปอตลอนดอนชั่วคราว ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะออกมาให้ความชัดเจนว่าทองคําแท่งจะไม่ถูกเก็บภาษีนําเข้า
เวลาต่อมา ความสนใจของตลาดเปลี่ยนไปที่การประชุม Jackson Hole ของเฟด โดยนักลงทุนเริ่มลดการคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยลง แต่คํากล่าวของ “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด ชี้ว่าความเสี่ยงที่มีอยู่อาจเปิดทางให้ลดดอกเบี้ยได้ในเดือนกันยายน ท่าทีดังกล่าวทําให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง และผลักดันราคาทองขึ้นเหนือ 3,370 ดอลลาร์
นอกจากนี้ วาระภาษีเชิงรุกของทรัมป์ แรงกดดันทางการเมืองต่อเฟด และความกังวลเรื่องความเป็นอิสระของเฟด ต่างหนุนบทบาททองคําในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบและการเมือง
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปีมา ราคาทองคํายังคงถือว่า ยืนได้ดีแม้หลังจากทําจุดสูงสุดใหม่เหนือ 3,500 ดอลลาร์ในเดือนเมษายน ราคาจะเข้าสู่ช่วงการพักฐาน แต่ก็ยังทําในรูปแบบราคาแบบ Ascending Triangle ซึ่ งเป็นสัญญาณเชิงบวกทางเทคนิค สะท้อนการพักฐานตามธรรมชาติหลังจากการปรับขึ้นรุนแรงก่อนหน้า อย่างไรก็ตามก็ยังความเสี่ยงจากแรงขายทํากําไรใน ระยะสันเช่นกัน
โดยในระยะสั้นทองคําอาจเผชิญแรงกดดันจากการฟื้นตัวของค่าเงินดอลลาร์ ตั้งแต่ต้นปี 2025 ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงราว 12% ส่วนใหญ่เป็นผลจากนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ที่ก่อให้เกิดความกังวลต่อเสถียรภาพการคลังระยะยาวของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ความกังวลเหล่านี้ส่วนหนึ่งถูกสะท้อนไปในราคาแล้ว ทําให้มีโอกาสเกิดการรีบาวด์ของดอลลาร์ในระยะสั้น ซึ่งอาจจํากัดการขึ้นของราคาทองชั่วคราว
สําหรับ แนวโน้มระยะกลางยังเป็นบวกมีปัจจัยเชิงมหภาคและเชิงโครงสร้างหลายด้านที่ยังสนับสนุนทิศทางเชิงบวกของทองคํา ได้แก่
ประการแรก นโยบายการเงิน ท่าทีของเฟดยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยเฉพาะคํากล่าวของพาวเวลล์ที่ Jackson Hole ซึ่งสะท้อนความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ยในอนาคต เมื่ออัตราดอกเบี้ยแท้จริงลดลง ยิ่งเพิ่มแรงจูงใจในการถือทองคําที่ไม่ให้ผลตอบแทน
ประการที่สอง ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งรัสเซีย–ยูเครนที่ยืดเยื้อและความตึงเครียดระดับภูมิภาคยังคงสูง ทําให้ทองคําโดดเด่นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ใช้ป้องกัน ความไม่แน่นอนทั่วโลก
ประการที่สาม ความต้องการจากธนาคารกลางความต้องการจากธนาคารกลางช่วยสร้างฐานราคาที่แข็งแกร่ง โดยธนาคารกลางจีนเข้าซื้อทองต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ในเดือนกรกฎาคม แม้ราคาทองอยู่ใกล้จุดสูงสุดใหม่
แสดงให้เห็นว่าความต้องการมีแรงผลักจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบันจีนถือทองราว 6.7% ของทุนสํารองต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดเกิดใหม่ (ไม่รวม จีน) ที่ 16.5% สะท้อนศักยภาพการสะสมเพิ่มเติมได้อีกมาก ขณะเดียวกัน แรงกดดันทางการเมืองต่อเฟดยิ่งเสริมบทบาททองคําในฐานะตัวป้องกันความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของ นโยบายการเงิน
ประการที่สี่ พฤติกรรมนักลงทุนการเก็งกําไรในตลาดฟิวเจอร์สทองคําเริมกลับสู่ภาวะปกติ โดยสถานะ Net-long ซึงเคยพุ่งขึ้นถึง 254,841 สัญญาในเดือนกันยายน 2024 ปัจจุบันลดลงและฟื้นจากค่าเฉลี่ยระยะยาว 119,525 สัญญา มาอยู่ที่ 141,758 สัญญา
ขณะเดียวกัน การลงทุนผ่านกองทุน ETF ทองคํากลับมาเป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่สามในเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และหากนับตั้งแต่ต้นปี ETF ทองคํามียอดไหลเข้าสุทธิ10.8% หลังจากเผชิญกระแสไหลออกติดต่อกัน 4 ปี (2021–2024) สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันที่ฟื้นกลับมา
โดยสรุป แม้ราคาทองคํายังอาจเผชิญความผันผวนระยะสันจากแรงขายทํากําไรและการฟื้นตัวของดอลลาร์ แต่แนวโน้มระยะกลางยังเป็นบวกอย่างชัดเจน การผสมผสานของการลดดอกเบี้ยเฟด ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การสะสมทองคําโดยธนาคารกลาง และกระแสเงินไหลเข้าจาก ETF ล้วนเป็นปัจจัยหนุนที่แข็งแกร่ง
ภายใต้กรณีฐาน เรามองว่า ทองคํามีโอกาสกลับไปทดสอบแนวต้านที่ 3,560 ดอลลาร์ในปี 2026 และในกรณีดีที่สุดอาจขึ้นไปแตะ 3,720 ดอลลาร์ได้ (ที่มา : รายงานการจัดพอร์ตสินทรัพย์และแนวโน้มการลงทุน ประจำเดือน ก.ย.2568 โดยทีม Wealth Research หลักทรัพย์บัวหลวง)


