ภาษีกับศรัทธา! เงินกฐิน-กิจนิมนต์ เข้าข่ายต้องเสียภาษีหรือไม่?
ศรัทธากับภาษี! เงินทำบุญกฐินและกิจนิมนต์เข้าข่ายต้องเสียภาษีหรือไม่? เปิดคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ เจาะลึกความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนาและกฎหมายการเงินของชาติ
เมื่อศรัทธาต้องเผชิญหน้ากับภาษี ในสังคมไทยซึ่งมีพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลัก “การทำบุญ” ถือเป็นกิจกรรมที่ผูกพันอยู่กับวิถีชีวิตของผู้คนมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการถวายสังฆทาน การจัดงานกฐิน ผ้าป่า หรือแม้กระทั่งการนิมนต์พระไปประกอบพิธีกรรมต่างๆ ล้วนมี “ศรัทธา” เป็นแรงผลักดันหลัก
แต่ในอีกมุมหนึ่ง “ระบบภาษี” ของรัฐก็ทำหน้าที่ในการดูแลให้เกิดความเป็นธรรมทางการเงิน และนำรายได้ไปใช้พัฒนาประเทศตามหลักกฎหมาย แน่นอนว่าเมื่อสองสิ่งนี้มาบรรจบกัน จึงเกิดคำถามที่น่าสนใจว่า “เงินทำบุญ” อย่างเช่น เงินกฐิน หรือ เงินกิจนิมนต์ นั้น เข้าข่ายต้องเสียภาษีหรือไม่? แล้วหากต้องเสีย ใครควรเป็นผู้เสีย? วัด? พระ? หรือบุคคลอื่น?
ดังนั้นเพื่อให้ผู้ศรัทธาและวัดเข้าใจบทบาทของภาษีอย่างถูกต้องและไม่ขัดกับหลักธรรม เนื้อหาที่จะนำเสนอต่อไปนี้จะอธิบายหลักเกณฑ์ภาษีที่เกี่ยวข้องกับเงินทำบุญ พร้อมยกกรณีตัวอย่าง และให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ สามารถอธิบายได้ดังนี้
ทำความเข้าใจ...เงินทำบุญคืออะไร?
เงินทำบุญสามารถแบ่งได้หลายประเภท โดยทั่วไปที่คุ้นเคยกัน ได้แก่
- เงินกฐิน/ผ้าป่า เป็นเงินที่ญาติโยมนำมาถวายวัดตามประเพณี เพื่อทำนุบำรุงศาสนา สร้างศาลา กุฏิ หรือบูรณะวัด
- เงินกิจนิมนต์ เป็นเงินที่ญาติโยมมอบให้พระภิกษุในโอกาสต่างๆ เช่น งานทำบุญบ้าน งานศพ หรือพิธีกรรมทางศาสนาอื่นๆ
แม้ว่าเงินทั้งหมดนี้จะได้มาจากความศรัทธาของผู้ให้ แต่ในทางกฎหมายรัฐยังคงต้องพิจารณาว่าเงินเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มใดของรายได้ และมีหน้าที่เสียภาษีหรือไม่
เงินกฐิน-ผ้าป่า...ต้องเสียภาษีหรือไม่?
เงินกฐินและผ้าป่าโดยหลักแล้วถือว่าเป็น “ทรัพย์สินของวัด” ซึ่งวัดในประเทศไทยนั้นถือเป็น นิติบุคคลประเภทหนึ่ง (แม้จะไม่ใช่บริษัท) ที่ได้รับการยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากรมาตรา 47(7) นั่นหมายความว่า
วัดไม่ต้องเสียภาษีจากเงินกฐินและผ้าป่า แต่ต้องนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางศาสนาเท่านั้น หากนำเงินไปใช้ในกิจการเชิงพาณิชย์ เช่น เปิดร้านค้าให้เช่าพื้นที่โดยไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศาสนา ก็อาจเข้าข่ายต้องเสียภาษี
อย่างไรก็ตาม หากมีการจัดกฐินผ้าป่าแล้วนำเงินมอบให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลอื่น เช่น เจ้าภาพ หรือลูกศิษย์วัดที่ไม่ใช่พระ หรือนำไปใช้ในกิจกรรมอื่นที่ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ วัดอาจตกอยู่ในสถานะที่ต้องรายงานและชี้แจงต่อกรมสรรพากร
เงินกิจนิมนต์...ใครต้องเสียภาษี?
เงินกิจนิมนต์ที่ถวายให้พระภิกษุโดยตรง เช่น ค่านิมนต์ไปในงานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ ถือว่าเป็น “เงินได้บุคคลธรรมดา” ซึ่งตามกฎหมายภาษีเงินได้ พระภิกษุ ไม่ต้องเสียภาษี เพราะถือว่าพระเป็น “บุคคลที่ไม่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้” ตามพระธรรมวินัย
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่เงินกิจนิมนต์ถูกนำไปบริหารโดยคนกลาง เช่น มูลนิธิ กลุ่มลูกศิษย์ หรือนำมาเข้าบัญชีชื่อบุคคลทั่วไป ซึ่งไม่ใช่พระ หรือไม่ได้อยู่ภายใต้การจัดการของวัดโดยตรง กรณีนั้นอาจเข้าข่ายต้องเสียภาษี
ตัวอย่างเช่น
- หากเจ้าภาพโอนเงินค่านิมนต์เข้าบัญชี “แม่ชี” หรือ “เจ้าหน้าที่วัด” ที่ไม่ใช่พระสงฆ์โดยตรง บุคคลนั้นอาจต้องนำไปรายงานเป็นเงินได้พึงประเมิน และเสียภาษีตามมาตรา 40(2) หรือ 40(8) ตามกรณี
- หากมีการออกใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษี โดยหน่วยงานหนึ่งที่ดำเนินงานลักษณะเชิงธุรกิจ เช่น รับจัดพิธีทางศาสนาแบบแพ็คเกจครบวงจร ก็ต้องเข้าสู่ระบบภาษีตามปกติ
ข้อควรระวัง...เงินทำบุญไม่ใช่พื้นที่ปลอดภาษีเสมอไป
ในบางกรณี การใช้เงินทำบุญอย่างไม่โปร่งใส เช่น
- โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของพระโดยไม่มีบัญชีวัด
- นำเงินกิจนิมนต์ไปใช้จ่ายในสิ่งฟุ่มเฟือยหรือไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางศาสนา
- วัดเปิดกิจการหารายได้จากการค้าขายโดยไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
กรณีเหล่านี้อาจเป็นช่องทางให้กรมสรรพากรเข้ามาตรวจสอบ และในที่สุดอาจนำไปสู่การเสียภาษี ย้อนหลัง หรือการดำเนินคดีตามกฎหมาย
ศรัทธาไม่ขัดกับภาษี ถ้าใช้ให้ถูกต้อง
เงินทำบุญไม่ใช่เรื่องต้องกลัวภาษี หากดำเนินการโปร่งใสและอยู่ในกรอบของวินัยสงฆ์และกฎหมายภาษี
- เงินกฐิน-ผ้าป่า ที่ถวายวัด ไม่ต้องเสียภาษี หากวัดใช้เงินเพื่อกิจกรรมทางศาสนา
- เงินกิจนิมนต์ ที่ถวายพระโดยตรง พระไม่ต้องเสียภาษี
- แต่หากเงินตกไปอยู่ในมือบุคคลธรรมดา หรือกลุ่มธุรกิจจัดงานทำบุญ ต้องพิจารณาตามกฎหมายภาษีทั่วไป
คำแนะนำสำหรับทั้งวัดและญาติโยมที่ทำบุญ คือ ควรทำเอกสารให้โปร่งใส เช่น ออกใบรับเงินในนามวัด ใช้บัญชีวัดเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการรับเงินผ่านบุคคลกลางที่ไม่ใช่พระ
กล่าวโดยสรุป ศรัทธาที่บริสุทธิ์ย่อมไม่ขัดกับภาษี หากทำอย่างมีความเข้าใจและอยู่ในกรอบกฎหมาย เพราะท้ายที่สุดแล้วความศรัทธาที่แท้จริงย่อมคู่กับความโปร่งใสและความถูกต้องเสมอ ซึ่งภาษีกับศรัทธาอาจดูเป็นเรื่องคนละขั้ว แต่ทั้งสองสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน หากมีความรู้ความเข้าใจ การทำบุญจะไม่เพียงแต่ส่งเสริมจิตใจให้สงบสุข แต่ยังช่วยให้สังคมมีระบบที่ยั่งยืนและโปร่งใสยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting


