posttoday

ถอดรหัส Transshipment เวียดนาม! สหรัฐฯจับตาเกมส่งผ่านสินค้าจีน

23 สิงหาคม 2568

เวียดนามถูกจับตาหนัก! สัญญาณ Transshipment สินค้าจีนไปสหรัฐฯชัดเจนขึ้น สหรัฐฯตั้งภาษีสูง 40% กดดันการส่งออก เสี่ยงกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน

KEY

POINTS

  • เวียดนามถูกจับตาหนัก! สัญญาณ Transshipment สินค้าจีนไปสหรัฐฯชัดเจนขึ้น
  • สหรัฐฯตั้งภาษีสูง 40% กดดันการส่งออก เสี่ยงกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน

ในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มประเทศอาเซียน ถูกจับตามองสำหรับการเป็นประเทศที่สาม สำหรับ Transshipment สินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ จากการเป็นฐานการผลิตสินค้าจีนเป็นทุนเดิม

ประกอบกับมีท่าเรือใหญ่ที่เอื้อต่อการขนส่งโลจิสติกส์ โดยเฉพาะเวียดนาม ไทย และ มาเลเซีย จึงอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านนโยบายการค้าเพิ่มขึ้น หากมีสัดส่วน Transshipment สินค้าจีนอยู่มาก สัญญาณคลาสสิกของ Transshipment มักมี รูปแบบ ดังนี้ 

  1. อัตราการนำเข้าสินค้าจากจีนและการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เติบโตคู่ขนานกัน 
  2. ดัชนีการผลิตในประเทศไม่สะท้อนกิจกรรมการส่งออก
  3. ไม่มีการสร้างมูลค่าเพิ่มจริงในประเทศ โดยใช้วัตถุดิบและแรงงานในประเทศน้อย (Low local content)

อัตราการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจีนในเวียดนามและการส่งออกสินค้าจากเวียดนามไปยังสหรัฐฯ

ที่มา: CEIC, Bualuang Research

รายงาน Wealth Insight ของหลักทรัพย์บัวหลวง ระบุว่า ประเทศเวียดนาม เข้าข่ายทั้ง 3 ข้อดังกล่าว ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่ต้องถูกนำมากล่าวถึงเป็นพิเศษ เพราะเวียดนามนับว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียนที่เป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ

โดยในปี 2024 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับเวียดนามเป็นอันดับ 3 (รองจากจีนและเม็กซิโก) มูลค่าสูงถึง 123,463 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และเวียดนามก็ถูกสหรัฐฯจับตามองเรื่อง Transshipment เช่นกัน สะท้อนจากข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนามที่ระบุถึงอัตราภาษี Transshipment ที่สูงถึง 40% เป็นครั้งแรก

ขณะเดียวกัน สหรัฐฯก็เป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของเวียดนาม โดยมีสัดส่วนสูงถึง 33.6% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าของเวียดนามทั้งหมด ส่วนจีนก็เป็นแหล่งนำเข้าของเวียดนาม โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 41.8% ของมูลค่าการนำเข้าของเวียดนามทั้งหมด หากทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางการค้าและภาคการผลิตของเวียดนาม จะพบข้อมูลเชิงประจักษ์หลายประการที่สะท้อนให้เห็นถึง Transshipment สินค้าจีนจากเวียดนามไปยังสหรัฐฯ ดังนี้

• อัตราการเติบโตของการส่งออกสินค้าเวียดนามไปยังสหรัฐฯ สอดคล้องไปทิศทางเดียวกับอัตราการเติบโตของการนำเข้าสินค้าจีน โดยเห็นได้ชัดขึ้นตั้งแต่ปี 2020 หลังจากสงครามการค้าโลกระหว่างสหรัฐฯ และจีนสิ้นสุดลง ทั้งนี้ เวียดนามมีการนำเข้าสินค้าจากจีนเติบโตเฉลี่ยราว 17.3% ต่อเดือน และมีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯที่เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 18.5% ต่อเดือน

• สินค้าส่งออกหลักของเวียดนามไปยังสหรัฐฯ ทับซ้อนเป็นกลุ่มเดียวกับสินค้านำเข้าหลักจากจีน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักรและส่วนประกอบ โทรศัพท์และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง จึงอาจเป็นไปได้ว่าสินค้าในกลุ่มดังกล่าวบางส่วนอาจเข้าข่ายเป็นสินค้าจีนที่ถูก Transshipment ไปยังสหรัฐฯ

• ภาคการผลิตในกลุ่มสินค้าที่เข้าข่าย Transshipment ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยจะเห็นได้ชัดในกลุ่มคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมถึงเครื่องจักรและส่วนประกอบ สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ขยายตัวได้ต่ำกว่าการนำเข้าจากจีนและการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะที่การนำเข้าจากจีนขยายตัวได้ในอัตราสูงใกล้เคียงกับการส่งออกสินค้าเหล่านั้นไปยังสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ในส่วนของโทรศัพท์และชิ้นส่วนก็จะพอเห็นถึงความไม่สัมพันธ์กันระหว่างการนำเข้าสินค้าจากจีน การส่งออกไปยังสหรัฐฯ และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะในช่วงปี 2022 และปี 2024 ที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯโตค่อนข้างโดดเด่น เฉลี่ยสูงถึง 34.2% ต่อเดือน ขณะที่ดัชนีผลผลิตโทรศัพท์และอุปกรณ์สื่อสารขยายตัวได้เพียง 7.7% ต่อเดือน 

โดยสรุป จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกด้านการค้า (นำเข้า-ส่งออก) และการผลิตของเวียดนาม เราตรวจพบข้อมูลเชิงประจักษ์ถึงการมีอยู่จริงของ Transshipment สินค้าจีนไปยังสหรัฐฯ สะท้อนจากข้อมูลการนำเข้าสินค้าจากจีนและการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ที่ขยายตัวสอดคล้องกัน โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ภาคการผลิตจริง

ในกลุ่มสินค้าที่เข้าข่าย Transshipment เหล่านั้นกลับขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นั่นแสดงให้เห็นว่าตัวเลขการส่งออกของเวียดนามอาจจะขยายตัวเกินกว่าความเป็นจริง 

อย่างไรก็ดี หากมองในมุมภาพรวมของภาคการผลิตเวียดนาม กลับพบว่ามีการขยายตัวไปในทิศทางเดียวกับการส่งออก ซึ่งแตกต่างจากไทยที่แม้การส่งออกจะขยายตัวได้โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา แต่ภาคการผลิตกลับยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ สะท้อนว่าโครงสร้างการส่งออกเวียดนามเติบโตมาจากฐานการผลิตจริงในประเทศมากกว่าไทย 

หรืออาจกล่าวได้ว่ามีความ “Organic” กว่า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะการส่งออกสินค้าสำคัญของเวียดนามหลายรายการที่เติบโตได้ดีก่อให้เกิดการผลิตจริงในอุตสาหกรรม เช่น การผลิตสิ่งทอ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม รวมไปถึงรองเท้า เป็นต้น

ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้า ภาคการส่งออกของเวียดนามคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงเชิงนโยบายชัดขึ้นเมื่อสหรัฐฯ ระบุอัตราภาษีสำหรับ Transshipment ที่สูงถึง 40% ขณะที่เวียดนามมีกลุ่มสินค้าที่เข้าข่าย Transshipment คิดเป็นส่วนหนึ่งของสัดส่วน 32% ของมูลค่าการส่งออกเวียดนามไปยังสหรัฐฯทั้งหมด จึงอาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีในกลุ่มสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้น หากเวียดนามไม่สามารถบริหารจัดการกระบวนการการตรวจสอบถึงถิ่นกำเนิดของสินค้าชัดเจน และอาจกระทบต่อเสถียรภาพการส่งออก รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในระยะยาว.

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันอาทิตย์ที่ 14 ธ.ค. 68