posttoday

Amazing Thailand เที่ยวไทยคนละครึ่ง เมืองหลัก เมืองรอง ต่อยอดสู่ความยั่งยืน

17 สิงหาคม 2568

Amazing Thailand : ส่งเสริมการพัฒนาเมืองหลักและเมืองรองให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวอย่างยั่งยืน

Amazing Thailand เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 กระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เริ่มจองสิทธิ์กันแล้ว ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป เลือกเที่ยวได้ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง เริ่มใช้สิทธ์ได้ตั้งแต่ ก.ค.-ต.ค. 68 อย่ารอช้า มีเพียง 500,000 สิทธิ์เท่านั้น เมื่อได้รับสิทธิ์แล้ววางแผนหรือยัง…ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี ที่จะทำให้รู้สึกถึงความคุ้มค่าและน่าประทับใจ... การรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวที่จะไปจึงสำคัญ ! ผู้เขียนจะเป็นกัปตันนำท่านไปหาข้อมูลเหล่านั้น โดยแรกเริ่มจะพาไปรู้จักเมืองหลักและเมืองรองกันก่อน 

ปัจจุบันประเทศไทยมีเมืองหลักทั้งสิ้น  22 จังหวัด จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล 6 จังหวัด คือ นครปฐม นนทบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และปทุมธานี และอีก 15 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ นครราชสีมา กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา ระยอง สงขลา เพชรบุรี กระบี่ สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ ขอนแก่น พังงา และ สระบุรี

ส่วน 55 จังหวัดที่เหลือเป็นเมืองรอง (Less Visited Area)  มาดูกันว่าเมืองรองแต่ละภาคมีจังหวัดอะไรกันบ้าง  

(ที่มา: https://www.posttoday.com/lifestyle/587425)

ข้อมูลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบัน

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมภาคบริการที่สามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศแต่ละปีจำนวนไม่น้อย ในขณะเดียวกันเป็นอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยหลายด้านที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว เช่น ความสะดวกสบายในการเดินทาง ความปลอดภัย ราคาที่เหมาะสม และรสนิยมความชอบที่แตกต่างกัน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่นิยมชมชอบท่องเที่ยวในเมืองหลักที่มีความเจริญและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ชลบุรี และเชียงใหม่

สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เมื่อพิจารณาการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติกระจายลงไปในแต่ละประเภทธุรกิจและพื้นที่ท่องเที่ยว พบว่า การฟื้นตัวยังไม่ทั่วถึง รายได้การท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 80% อยู่ในเมืองท่องเที่ยวหลัก 3 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และชลบุรี ซึ่งสอดคล้องกับการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยกว่า 70% กระจุกตัวอยู่ที่เมืองท่องเที่ยวหลัก 3 จังหวัด

โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 อันดับแรกยังไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่ผ่านมา โดยนักท่องเที่ยวจีนยังครองอันดับ 1 รองลงมาคือ มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย

(ที่มา: https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/TH-Tourism-CIS3545-FB-2025-01-16.aspx

จากข้อมูลดังกล่าว อาจจะสรุปได้ว่า นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาตินิยมท่องเที่ยวในเมืองหลักใหญ่ ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะรสนิยมของนักท่องเที่ยว และอาจเป็นเพราะการรับรู้ข้อมูลที่เกี่ยวกับรายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยวเมืองหลักอื่น ๆ รวมทั้งเมืองรองไม่ทั่วถึง…

ผู้เขียนมองว่ายังมีนักท่องเที่ยวอีกจำนวนไม่น้อยที่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่หันมาสนใจและพยายามค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ เพื่อพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดยาว พาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติที่สวยงาม อากาศที่บริสุทธิ์ได้สูดโอโซนเข้าปอดได้เต็มที่ หนีมลพิษทางอากาศและความแออัดในเมืองใหญ่ ซึ่งสถานที่พักผ่อนแบบนี้มีหลายแห่งในเมืองไทย แต่อาจจะไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากนัก

Amazing Thailand เที่ยวไทยคนละครึ่ง เมืองหลัก เมืองรอง ต่อยอดสู่ความยั่งยืน อุทยานธรณีสตูล (Satun Geopark)

ถึงเวลาแล้วที่เมืองหลักและเมืองรองจะเปิดตัวโชว์ศักยภาพที่มีดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมาท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 3-4 ปี 2568 นี้ ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น จากนโยบายภาครัฐที่ให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 นับเป็นโอกาสดีที่เมืองหลักอีก 19จังหวัด (นอกจากกรุงเทพฯ ภูเก็ต และชลบุรี) และเมืองรองทั้ง 55 จังหวัด จะสร้างแคมเปญ จัดโปรแกรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้น่าสนใจและประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวรู้จักและรู้ว่ามีอะไรดี ๆ ที่เป็นอัตลักษณ์มากกว่าที่เห็น เช่น

สัมผัสธรรมชาติที่มีความหลากหลายในแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ มีวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์ อากาศบริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษ ปลอดภัยจากฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นต้น ที่จะสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี...เมื่อนักท่องเที่ยวประทับใจก็จะหวนกลับมาเที่ยวซ้ำ!! และบอกเล่าให้ผู้คนรู้จักในวงที่กว้างมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการสร้างรายได้จากอาชีพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ของคนในพื้นที่ตามมา เช่น การผลิตและแปรรูปสินค้าอาหาร ไกด์ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร/เครื่องดื่ม ร้านของฝาก เป็นต้น มากขึ้นด้วย

BOI สนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง

•    กิจการด้านท่องเที่ยวและกิจการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเป็นกิจการที่อยู่ในบัญชีกิจการที่ให้การส่งเสริมได้ เช่น กิจการเรือเฟอร์รี่ หรือเดินเรือท่องเที่ยว หรือให้บริการเรือท่องเที่ยว กิจการศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทยหรือศูนย์ศิลปหัตถกรรมไทย กิจการบริการที่จอดเรือท่องเที่ยว กิจการพิพิธภัณฑ์ กิจการกระเช้าไฟฟ้าหรือรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยว และกิจการโรงแรม เป็นต้น รวมถึงมีกิจการอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากผลพลอยได้ในการส่งเสริมการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เช่น

กิจการผลิตหรือถนอมอาหาร กิจการศูนย์กลางการค้าสินค้าเกษตร กิจการพัฒนาพื้นที่เมืองอัจฉริยะ กิจการพัฒนาและปรับปรุงซอฟแวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล หรือดิจิทัลคอนเทนต์ เป็นต้น

ทั้งนี้ สามารถศึกษาข้อมูลประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมได้ภายใต้ 400 กว่ากิจการ และเงื่อนเฉพาะแต่ละประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมได้จากคู่มือการขอรับส่งเสริมการลงทุน ปี 2568 โดยมีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาจีนทางเว็บไซต์สำนักงาน ดังนี้ 

https://www.boi.go.th/upload/content/BOI_A_Guide_Web_Th.pdf

https://www.boi.go.th/upload/content/BOI_A_Guide_EN.pdf

https://www.boi.go.th/upload/content/BOI_A_Guide_CH.pdf

•    มาตรการส่งเสริมการลงทุนกิจการด้านการท่องเที่ยวในเมืองรอง มีการปรับปรุงเงื่อนไขกรณีตั้งสถานประกอบการในจังหวัดเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ตามที่กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬากำหนด โดยการให้สิทธิและประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น จาก A3 (5 ปี) เป็น A2 (8 ปี)

เพื่อวางเป้าหมายให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่เมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) พลิกฟื้นการท่องเที่ยวไปสู่มิติใหม่ และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นและชุมชน เช่น กิจการบริการที่จอดเรือท่องเที่ยว กิจการศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทยหรือศูนย์หัตถกรรมไทย กิจการกระเช้าไฟฟ้าหรือรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยว และกิจการโรงแรม เป็นต้น 

(ที่มา:https://www.boi.go.th/upload/content/sor6_2568_6846458031c1b.pdf)

•    มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและสังคม โดยร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ในระดับฐานรากให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงการยกระดับสิ่งแวดล้อมโดยการจัดการป่า เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 อย่างยั่งยืน

(ที่มา: https://www.boi.go.th/upload/content/1_2568.pdf)

มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า “มาตรการ CSR” เป็นมาตรการที่ส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน ผ่านกลไกการสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและสังคมร่วมกับองค์กรท้องถิ่นทั้งในด้านการเกษตร

การพัฒนาแหล่งน้ำ การท่องเที่ยวชุมชน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน การสนับสนุนการศึกษา การสาธารณสุข การช่วยลดฝุ่น PM2.5 เป็นต้น โดยองค์กรท้องถิ่นจะได้ในสิ่งที่ต้องการพัฒนา ส่วนภาคเอกชนที่ขอรับส่งเสริมจะได้รับสิทธิและประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เกิดจากการสนับสนุนฯ จากบีโอไอ

Amazing Thailand เที่ยวไทยคนละครึ่ง เมืองหลัก เมืองรอง ต่อยอดสู่ความยั่งยืน หาดสันหลังมังกร สตูล

จะเห็นได้ว่า มาตรการ CSR ครอบคลุมการส่งเสริมชุมชนและสังคมหลายด้าน ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชนและสังคมในเมืองหลักและเมืองรองได้ เช่น ด้านการสนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน และการลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 โดยเฉพาะการสนับสนุนการพัฒนาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ความสะดวกสบายในการเดินทาง ความปลอดภัยและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เป็นต้น  เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองหลักและเมืองรองให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าเที่ยวอย่างยั่งยืนได้  

โดย : นางสาวจันจีรา โสะประจิน นักวิชาการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

หมายเหตุ : บทความข้างต้นเป็นความคิดเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่เกี่ยวกับสำนักงานแต่อย่างใด

ข่าวล่าสุด

ทรู-ซีพี ผนึก กกท. ประกาศพร้อมจัดซีเกมส์ 2025 ชูเครือข่าย 5G เต็มพิกัด