posttoday

ขายส่ง-รับผลิตสินค้า ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อใด?

30 กรกฎาคม 2568

การขายส่งหรือรับผลิตสินค้า อาจเข้าข่ายต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หากมีบริการแฝง เช่น ติดตั้ง ออกแบบ หรือผลิตตามสั่ง ผู้ประกอบการควรเข้าใจเงื่อนไข อัตราภาษี และจัดเตรียมเอกสารให้ถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงด้านภาษีและบริหารบัญชีอย่างรัดกุม

ในการดำเนินธุรกิจขายส่งหรือรับผลิตสินค้า หนึ่งในภาระหน้าที่ที่ผู้ประกอบการมักพบเจอคือ "การถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย" ซึ่งเป็นกระบวนการทางภาษีที่ภาครัฐใช้ในการจัดเก็บภาษีจากรายได้ของผู้ให้บริการหรือผู้ขายสินค้า โดยที่ผู้จ่ายเงิน (เช่น ลูกค้า หรือคู่ค้า) จะต้องหักเงินส่วนหนึ่งจากยอดที่ต้องจ่ายให้ผู้รับเงิน แล้วนำส่งให้กรมสรรพากรแทน การหักภาษี ณ ที่จ่ายนี้มักเกิดขึ้นในกรณีที่คู่ค้าเป็นหน่วยงานรัฐ บริษัท หรือองค์กรที่มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องหักภาษี ซึ่งหลายครั้งผู้ประกอบการอาจยังไม่เข้าใจว่า “เมื่อใด” จะถูกหักภาษี หรือในกรณีใดบ้างที่ต้องออกใบหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ถูกต้อง

บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่าธุรกิจขายส่งหรือรับผลิตสินค้าจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในกรณีใดบ้าง อัตราการหักเป็นเท่าไร และควรจัดเตรียมเอกสารอะไรบ้าง เพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงในการเสียภาษีย้อนหลังและบริหารจัดการบัญชีได้อย่างรัดกุม

เข้าใจพื้นฐานก่อน...ภาษีหัก ณ ที่จ่ายคืออะไร?

ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นระบบภาษีที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการทั้งในรูปแบบบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นนิติบุคคลนั้น กฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินที่ต้องจ่ายให้กับคู่ค้า หรือผู้ให้บริการ ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ในแต่ละประเภทของรายจ่าย

ตัวอย่างเช่น กิจการที่ดำเนินการในรูปของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งประกอบธุรกิจรับผลิตและจำหน่ายสินค้า หากมีการเช่าสถานที่เพื่อใช้ในกิจการ บริษัทมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าเช่าในอัตรา 5% ก่อนจ่ายเงินให้ผู้ให้เช่า

ในทำนองเดียวกันหากธุรกิจมีการจ้างพนักงาน และพนักงานมีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทต้องหักภาษีตามอัตราภาษีก้าวหน้าที่กำหนดไว้ในกฎหมาย จากเงินเดือนหรือค่าจ้างที่จ่ายให้พนักงาน ภาษีที่ถูกหักไว้นี้จะต้องนำส่งกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป โดยใช้แบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 3 (กรณีหักจากบุคคลธรรมดา) หรือ ภ.ง.ด. 53 (กรณีหักจากนิติบุคคล)

 

ธุรกิจแบบใด “ไม่ถูกหัก” ภาษี ณ ที่จ่าย?

  • ขายสินค้าสำเร็จรูป (ผลิตไว้ล่วงหน้า ไม่ทำตามสั่ง)
  • ไม่มีบริการแฝง เช่น การติดตั้ง การออกแบบ หรือขนส่ง
  • คู่ค้าเป็นเอกชนทั่วไป ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ หรือบริษัทที่มีหน้าที่หักภาษี
  • ไม่มีสัญญาจ้าง ไม่มีลักษณะของการให้บริการ

ตัวอย่าง: บริษัท A ขายเครื่องเขียนล็อตใหญ่ให้บริษัท B มูลค่า 200,000 บาท ไม่มีบริการใดๆ เพิ่มเติม เป็นเพียงการซื้อขายสินค้า ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

กรณีที่ “ต้องถูกหัก” ภาษี ณ ที่จ่าย

กรณี

รายละเอียด

อัตราภาษี

ขายสินค้าพร้อมบริการ (ติดตั้ง/ขนส่ง/ออกแบบ)

หากมีการให้บริการรวมอยู่ในดีล

3% ของค่าบริการ

รับผลิตตามแบบลูกค้า (Customize)

โดยเฉพาะเมื่อผู้ว่าจ้างจัดหาวัตถุดิบเอง

3%

มีค่าขนส่งแยกต่างหาก

หากไม่มีใบอนุญาตประกอบการขนส่ง

1%

จ่ายค่าจ้างบุคคลธรรมดา/ฟรีแลนซ์

เช่น แรงงานทำของ ช่างตัดเย็บ ฯลฯ

3%

ลูกค้าเป็นหน่วยงานรัฐ/รัฐวิสาหกิจ

แม้เป็นการซื้อสินค้า ก็อาจถูกหักในระบบราชการ

ตามประเภท

ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?

  • ใบแจ้งหนี้ / ใบกำกับภาษี ระบุให้ชัดว่าเป็น “สินค้า” หรือ “บริการ”
  • หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (แบบ 50 ทวิ) เอกสารที่ผู้ขายต้องเก็บไว้ใช้ตอนยื่นภาษี
  • ข้อตกลงหรือสัญญา (ถ้ามี)  ใช้แสดงลักษณะงาน ว่าเป็นการขายหรือการบริการ
  • ภพ.20 / ใบจด VAT เตรียมไว้หากต้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม

เทคนิคลดความเสี่ยงเมื่อถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ผิดประเภท

  1. แยกรายการสินค้าและบริการชัดเจนในใบแจ้งหนี้
  2. ใช้คำอธิบายที่สื่อชัดว่าเป็น “สินค้า” ไม่ใช่บริการ
  3. สอบถามคู่ค้าก่อนปิดดีล ว่าจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่
  4. ปรึกษานักบัญชีเป็นประจำ เพื่อไม่ตกหล่นหรือตีความผิด

กล่าวโดยสรุป แม้ธุรกิจขายส่งหรือรับผลิตสินค้าอาจดูเหมือนหลีกเลี่ยงภาระภาษี ณ ที่จ่ายได้ หากเป็นการขายสินค้าทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติมักมีรายละเอียดหรือเงื่อนไขเฉพาะที่ทำให้รายได้นั้นเข้าข่ายต้องถูกหักภาษี การเข้าใจว่ากรณีใดที่ต้องถูกหักภาษี อัตราเท่าไร และเตรียมเอกสารอย่างไร จึงเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันความผิดพลาดด้านภาษี และช่วยให้บริหารจัดการบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่  Inflow Accounting   

ข่าวล่าสุด

กกต. เห็นชอบร่างแผนเลือกตั้ง – กำหนดวันใช้สิทธิ์ 8 ก.พ. 69