ขายส่ง-รับผลิตสินค้า ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อใด?
การขายส่งหรือรับผลิตสินค้า อาจเข้าข่ายต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หากมีบริการแฝง เช่น ติดตั้ง ออกแบบ หรือผลิตตามสั่ง ผู้ประกอบการควรเข้าใจเงื่อนไข อัตราภาษี และจัดเตรียมเอกสารให้ถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงด้านภาษีและบริหารบัญชีอย่างรัดกุม
ในการดำเนินธุรกิจขายส่งหรือรับผลิตสินค้า หนึ่งในภาระหน้าที่ที่ผู้ประกอบการมักพบเจอคือ "การถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย" ซึ่งเป็นกระบวนการทางภาษีที่ภาครัฐใช้ในการจัดเก็บภาษีจากรายได้ของผู้ให้บริการหรือผู้ขายสินค้า โดยที่ผู้จ่ายเงิน (เช่น ลูกค้า หรือคู่ค้า) จะต้องหักเงินส่วนหนึ่งจากยอดที่ต้องจ่ายให้ผู้รับเงิน แล้วนำส่งให้กรมสรรพากรแทน การหักภาษี ณ ที่จ่ายนี้มักเกิดขึ้นในกรณีที่คู่ค้าเป็นหน่วยงานรัฐ บริษัท หรือองค์กรที่มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องหักภาษี ซึ่งหลายครั้งผู้ประกอบการอาจยังไม่เข้าใจว่า “เมื่อใด” จะถูกหักภาษี หรือในกรณีใดบ้างที่ต้องออกใบหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ถูกต้อง
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่าธุรกิจขายส่งหรือรับผลิตสินค้าจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในกรณีใดบ้าง อัตราการหักเป็นเท่าไร และควรจัดเตรียมเอกสารอะไรบ้าง เพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงในการเสียภาษีย้อนหลังและบริหารจัดการบัญชีได้อย่างรัดกุม
เข้าใจพื้นฐานก่อน...ภาษีหัก ณ ที่จ่ายคืออะไร?
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เป็นระบบภาษีที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการทั้งในรูปแบบบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นนิติบุคคลนั้น กฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินที่ต้องจ่ายให้กับคู่ค้า หรือผู้ให้บริการ ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ในแต่ละประเภทของรายจ่าย
ตัวอย่างเช่น กิจการที่ดำเนินการในรูปของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งประกอบธุรกิจรับผลิตและจำหน่ายสินค้า หากมีการเช่าสถานที่เพื่อใช้ในกิจการ บริษัทมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าเช่าในอัตรา 5% ก่อนจ่ายเงินให้ผู้ให้เช่า
ในทำนองเดียวกันหากธุรกิจมีการจ้างพนักงาน และพนักงานมีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา บริษัทต้องหักภาษีตามอัตราภาษีก้าวหน้าที่กำหนดไว้ในกฎหมาย จากเงินเดือนหรือค่าจ้างที่จ่ายให้พนักงาน ภาษีที่ถูกหักไว้นี้จะต้องนำส่งกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป โดยใช้แบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 3 (กรณีหักจากบุคคลธรรมดา) หรือ ภ.ง.ด. 53 (กรณีหักจากนิติบุคคล)
ธุรกิจแบบใด “ไม่ถูกหัก” ภาษี ณ ที่จ่าย?
- ขายสินค้าสำเร็จรูป (ผลิตไว้ล่วงหน้า ไม่ทำตามสั่ง)
- ไม่มีบริการแฝง เช่น การติดตั้ง การออกแบบ หรือขนส่ง
- คู่ค้าเป็นเอกชนทั่วไป ไม่ใช่หน่วยงานรัฐ หรือบริษัทที่มีหน้าที่หักภาษี
- ไม่มีสัญญาจ้าง ไม่มีลักษณะของการให้บริการ
ตัวอย่าง: บริษัท A ขายเครื่องเขียนล็อตใหญ่ให้บริษัท B มูลค่า 200,000 บาท ไม่มีบริการใดๆ เพิ่มเติม เป็นเพียงการซื้อขายสินค้า
กรณีที่ “ต้องถูกหัก” ภาษี ณ ที่จ่าย
|
กรณี |
รายละเอียด |
อัตราภาษี |
|
ขายสินค้าพร้อมบริการ (ติดตั้ง/ขนส่ง/ออกแบบ) |
หากมีการให้บริการรวมอยู่ในดีล |
3% ของค่าบริการ |
|
รับผลิตตามแบบลูกค้า (Customize) |
โดยเฉพาะเมื่อผู้ว่าจ้างจัดหาวัตถุดิบเอง |
3% |
|
มีค่าขนส่งแยกต่างหาก |
หากไม่มีใบอนุญาตประกอบการขนส่ง |
1% |
|
จ่ายค่าจ้างบุคคลธรรมดา/ฟรีแลนซ์ |
เช่น แรงงานทำของ ช่างตัดเย็บ ฯลฯ |
3% |
|
ลูกค้าเป็นหน่วยงานรัฐ/รัฐวิสาหกิจ |
แม้เป็นการซื้อสินค้า ก็อาจถูกหักในระบบราชการ |
ตามประเภท |
ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง?
- ใบแจ้งหนี้ / ใบกำกับภาษี ระบุให้ชัดว่าเป็น “สินค้า” หรือ “บริการ”
- หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (แบบ 50 ทวิ) เอกสารที่ผู้ขายต้องเก็บไว้ใช้ตอนยื่นภาษี
- ข้อตกลงหรือสัญญา (ถ้ามี) ใช้แสดงลักษณะงาน ว่าเป็นการขายหรือการบริการ
- ภพ.20 / ใบจด VAT เตรียมไว้หากต้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
เทคนิคลดความเสี่ยงเมื่อถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ผิดประเภท
- แยกรายการสินค้าและบริการชัดเจนในใบแจ้งหนี้
- ใช้คำอธิบายที่สื่อชัดว่าเป็น “สินค้า” ไม่ใช่บริการ
- สอบถามคู่ค้าก่อนปิดดีล ว่าจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่
- ปรึกษานักบัญชีเป็นประจำ เพื่อไม่ตกหล่นหรือตีความผิด
กล่าวโดยสรุป แม้ธุรกิจขายส่งหรือรับผลิตสินค้าอาจดูเหมือนหลีกเลี่ยงภาระภาษี ณ ที่จ่ายได้ หากเป็นการขายสินค้าทั่วไป แต่ในทางปฏิบัติมักมีรายละเอียดหรือเงื่อนไขเฉพาะที่ทำให้รายได้นั้นเข้าข่ายต้องถูกหักภาษี การเข้าใจว่ากรณีใดที่ต้องถูกหักภาษี อัตราเท่าไร และเตรียมเอกสารอย่างไร จึงเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันความผิดพลาดด้านภาษี และช่วยให้บริหารจัดการบัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting


