posttoday

ความมั่นคงแห่งชาติแบบองค์รวมเชิงรุก การรับมือกับสงครามลูกผสม

20 มิถุนายน 2568

ไทยต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ความมั่นคง รับมือสงครามลูกผสมจากกัมพูชา ด้วยแนวคิด “ความมั่นคงแห่งชาติแบบองค์รวม” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติในทุกมิติ

พล.อ.เจิดวุธ คราประยูร อดีต อจ.รร.เสนาธิการทหารบก เขียนบทความ

การรับมือกับสงครามลูกผสม (Hybrid Warfare) ที่กัมพูชากำลังใช้โจมตีประเทศไทยในหลายมิติ ทั้งทางกฎหมาย ข้อมูล สังคม ความมั่นคงภายใน และพื้นที่ชายแดนแบบค่อยเป็นค่อยไป ประเทศไทย และกองทัพ จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องปรับวิธีคิด วิธีทำงาน และแนวทางการตอบโต้ให้ทันสมัย และรอบด้าน โดยใช้แนวคิด “ความมั่นคงแห่งชาติแบบองค์รวม” (National Comprehensive Security) ซึ่งไม่ใช่ความมั่นคงทางทหารเพียงด้านเดียว แต่เป็นความมั่นคงในทุกมิติที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ และต้องปรับจาก ท่าทีตั้งรับ (Defensive) มาเป็น แนวทางเชิงรุก (Offensive Comprehensive Security) ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

เหตุผลที่ไทยต้องใช้แนวคิด “ความมั่นคงแห่งชาติแบบองค์รวมเชิงรุก” (Offensive Comprehensive Security)

1. ภัยคุกคามไม่ได้มาเฉพาะทางทหารอีกต่อไป

  • Hybrid Warfare ของกัมพูชาผสมผสานการโจมตีในหลายมิติ เช่น
  • การบิดเบือนข้อมูล (Information Warfare)
  • การใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ (People-Centric Subversion)
  • การบั่นทอนความมั่นคงภายในผ่านธุรกิจผิดกฎหมาย (Gray-Zone Crime Ops)
  • การใช้กฎหมายระหว่างประเทศโจมตีไทย (Lawfare)

ดังนั้น การตอบโต้ด้วยกำลังทหารอย่างเดียว จึงไม่เพียงพออีกต่อไป ไทยต้อง “ออกนอกกรอบ” และใช้เครื่องมือในทุกมิติเพื่อรักษาอธิปไตย

2. หากตั้งรับอย่างเดียวจะถูกครอบงำทีละขั้น (Salami Slicing)

  • การที่ไทยใช้วิธี “รอให้ถูกกระทำก่อนแล้วค่อยตอบโต้” เท่ากับเปิดพื้นที่ให้กัมพูชารุกไล่ทีละน้อย
  • Salami Slicing Strategy คือกลยุทธ์ที่ใช้การยึดครองหรือชิงอิทธิพลแบบค่อยเป็นค่อยไป

 หากไทยไม่วางแผนเชิงรุกแบบองค์รวม ไทยจะถูกตัดอธิปไตยทีละชิ้นโดยไม่มีสงคราม

3. แนวทางแบบองค์รวมเชิงรุกทำให้ไทย “รุกด้วยปัญญา ไม่ใช่ใช้อาวุธเท่านั้น”

  • Offensive Comprehensive Security ไม่ได้หมายถึงการใช้อาวุธก่อน แต่หมายถึงการรุกในมิติที่ไทยได้เปรียบ เช่น:
  •  สงครามข้อมูลกลับ (Counter-Information Ops)
  •  การรุกทางการทูตและพันธมิตรในเวทีโลก (Diplomatic Offensive)
  •  การรุกทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน เช่น Free Trade Zone ฝั่งไทย
  •  การเสริมพลังชุมชนชายแดนให้ต้านทานการแทรกแซงจากภายนอก (Community Resilience Building)

ไทยจะกลายเป็น “ผู้กำหนดเกม” แทนที่จะเป็น “ผู้ตั้งรับ”

4. แนวทางนี้จะเสริมสร้างอิทธิพลและบทบาทของไทยในเวทีอาเซียนและนานาชาติ

  • การใช้ Comprehensive Security แบบเชิงรุก จะช่วยให้ไทยสามารถ:
  •  รักษา “ความเป็นแกนกลางของอาเซียน” (ASEAN Centrality)
  •  เป็นผู้นำในมาตรการตอบโต้ Hybrid Threats ในภูมิภาค
  •  วางกรอบความร่วมมือชายแดนแบบยั่งยืนในระดับพหุภาคี

ไทยจะไม่ใช่แค่ “ฝ่ายที่ถูกกระทำ” แต่เป็น “ผู้นำการออกแบบระบบป้องกันระดับภูมิภาค”

ผลที่คาดหวังจากการใช้แนวคิดเชิงรุกแบบองค์รวม (ผลลัพธ์ และรายละเอียด)

  • ปกป้องอธิปไตย: ไม่ให้กัมพูชาแทรกซึมหรือรุกพื้นที่ชายแดนทั้งทางกายภาพและทางจิตวิทยา
  • สร้างภูมิคุ้มกันในชุมชน: ชาวบ้านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของ Soft Power หรือการปลุกระดมจากกัมพูชา
  • นำอาเซียน: ไทยจะกลายเป็นต้นแบบของการจัดการภัยคุกคามแบบลูกผสม
  • ปรับระบบราชการ:  รัฐไทยจะต้องเปลี่ยนจาก “ระบบแบบไซโล” เป็น “ระบบบูรณาการเชิงรุก”

บทสรุป

Hybrid Warfare = การรุกหลายมิติอย่างแนบเนียน
Offensive Comprehensive Security = การตอบโต้หลายมิติอย่างมีชั้นเชิง

การใช้แนวคิด “ความมั่นคงแห่งชาติแบบองค์รวมเชิงรุก” คือคำตอบเชิงกลยุทธ์ของไทยในการ ไม่เพียง “ป้องกัน” แต่ “พลิกเกม” และ “ออกแบบอนาคตความมั่นคง” ของชาติได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมที่จะรักษาความมั่นคงของภูมิภาคและหลักการของอาเซียน

พล.อ.เจิดวุธ คราประยูร
มิถุนายน 2568

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68