แก้สัญญารถไฟฟ้า ‘สร้างไป-จ่ายไป’ PPP จำแลง
”ถ้าอุ๊บอิ๊บกันอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน โดยไม่สร้างความเข้าใจกับผู้คนให้เกิดความกระจ่าง ปมรถไฟฟ้า 2 แสนล้าน จะเป็นไฟบรรลัยกัลป์ลุกลามใส่ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ให้ร้อนรน ซวนเซ”
จับตากันแบบห้ามกระพริบ ในระยะอันใกล้นี้ “โครงการรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน 2 แสนล้านบาท” จะกลายเป็นของร้อนที่สุด ที่อาจไหม้มือ “คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ” ทั้ง 22 คน
เชื่อหัวนักสืบ เชอร์ล็อค ได้เลยว่า ถ้าอุ๊บอิ๊บกันอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน โดยไม่สร้างความเข้าใจกับผู้คนให้เกิดความกระจ่าง ปมรถไฟฟ้า 2 แสนล้าน จะเป็นไฟบรรลัยกัลป์ลุกลามใส่ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ให้ร้อนรน ซวนเซ เป๋ไปเป๋มาแน่นอน
ลูกไฟบรรลัยกัลป์ จากข้อหา “เอื้อประโยชน์นายทุน” นี่แหละจะลุกลามขยายวง!
“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ผู้ที่เป็นประธาน + 13 รัฐมนตรี + 3 ผู้นำข้าราชการ “สำนักงบฯ-สภาพัฒน์-บีโอไอ” +5 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ +1 เลขาธิการ อีอีซี พึงตระหนักไว้ให้ดี
คณะกรรมการ รฟท.ชุดที่มี นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมขนส่งทางบก เป็นประธาน รวมถึงกรรมการรถไฟฯทุกคน ไล่ ตั้งแต่ นายวิม รุ่งวัฒนจินดา นายศันสนะ สุริยะโยธิน น.ส.ศุกร์ศิริ อภิญญานุวัฒน์ นายอภิรัฐ ไขยวงศ์น้อย นายอาทิตย์ สุริยาภิวัฒน์ นายอารีศักดิ์ เสถียรภาพอยุทธ์ คงต้องตั้งสติกันใหม่ หาไม่แล้ว ทุกท่านอาจเจอพิษสง “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้นั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ”
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่าการลงทุน 224,544 ล้านบาท เปิดประมูลแบบรัฐร่วมกับเอกชนมาตั้งแต่ปี 2561ในรูปแบบ PPP-Net Cost ระยะเวลาสัมปทาน 50 ปี ครบสัญญาทรัพย์สินจะตกเป็นของรัฐบาล
กลุ่มกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ถือหุ้น 60% เป็นผู้นำการประมูล, บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชัน ถือหุ้น 20% และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งส์ ถือหุ้น 20%) เสนอราคาขอรับผลตอบแทนจากรัฐ 169,934 ล้านบาท
กลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้น 70% เป็นผู้นำการประมูล, บริษัท ช.การช่าง, บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ ถือหุ้น 15%, China Railway Construction Corporation Limited ถือหุ้น 10% และบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ถือหุ้น 5%) เสนอขอรับผลตอบแทนจากรัฐ 117,227 ล้านบาท
ผลคือ กลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร เป็นผู้ชนะการประมูล เนื่องจากเสนอราคารับผลประโยชน์จากรัฐต่ำกว่าคู่แข่งถึง 52,707 ล้านบาท สร้างความฮือฮาให้กับสังคมอย่างมาก
โครงการนี้ “การรถไฟแห่งประเทศไทย-สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” เป็นตัวแทนภาครัฐในการลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (ในเครือ ซี.พี.) โดยเซ็นสัญญากันไป เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 แต่ถึงตอนนี้ลากยาวมาแล้วร่วม 6 ปี ก็ยังไปไม่ถึงไหน
ปมใหญ่คือ สถานการณ์โควิดทำให้ความคุ้มค่าในการลงทุนแปรเปลี่ยนไปจากที่เอกชนเคยประเมินไว้โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจำนวนผู้โดยสาร-ต้นทุนดอกเบี้ย-ต้นทุนวัสดุ+ต้นทุนค่าก่อสร้าง ทำให้เอกชนไม่สามารถกู้เงินมาลงทุนได้
บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ในฐานะคู่สัญญากับรัฐ จึงขอแก้ไขสัญญาสัมปทานใหม่
เปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ในสาระสำคัญ “จากเอกชนหาเงินมาลงทุนก่อสร้างไปก่อน พอถึงปีที่ 6-15 หรือตั้งแต่สร้างเสร็จ รัฐจะจ่ายเงินให้” มาเป็นขอให้ “ฝ่ายรัฐจ่ายเงินเร็วขึ้นตั้งแต่ปีแรก หรือ สร้างไปจ่ายเงินไป”
การแก้ไขสัญญาอันนี้แหละขอรับเจ้านาย ที่จะโดนข้อครหา “เอื้อประโยชน์ให้นายทุน” จนไฟการเมืองลามทุ่ง หากไม่ทำความเข้าใจกับสาธารณะอย่างมีศิลปะชั้นเชิง
ไม่มีใครปฏิเสธ หากรัฐที่เป็นคู่สัญญากับเอกชนจะหาทางบรรเทาเหตุอันสุดวิสัยจากโควิด แต่ต้อง “เสมอภาค-เท่าเทียม-ไม่เลือกปฏิบัติ” ต้องเหมือนกันทุกรายที่เข้าประมูลงานภาครัฐ แล้วเจอพิษโควิด
อย่าลืมเชียวละว่า การเปลี่ยนเงื่อนไขในเรื่องสัญญาจ่ายเงินนั้น เป็นสาระสำคัญ ที่อาจทำให้คู่แข่งที่เข้าร่วมประมูลฟ้องร้องได้
อย่าลืมว่า นอกเหนือจากโครงการรถไฟฟ้า 3 สนามบินแล้ว ยังมีการประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 2.9 แสนล้านบาท พ่วงติดปลายนวมอยู่ด้วยนะเจ้านาย โครงการนี้ เอกชนประมูลแข่งกัน 2 รายเหมือนเดิม!!!
กลุ่มแรกคือ กิจการร่วมค้าบริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด หรือกลุ่มซีพี และพันธมิตร ประกอบด้วย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์, บริษัท ช. การช่าง, บริษัท บี.กริม จอยน์ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท โอเรียนท์ ซัคเซส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่คว้างานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินไป เสนอให้ผลตอบแทนแก่รัฐ 102,217 ล้านบาท ตลอดสัญญา 50 ปี
กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ ของนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ถือหุ้น 45% บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง ของนายคีรี กาญจนพาสน์ ถือหุ้น 35% และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ของตระกูลชาญวีระกุล ถือหุ้น 20% เสนอให้ผลตอบแทนแก่รัฐถึง 305,555 ล้านบาท ตลอดสัญญา 50 ปี
แก้สัญญาชุดหนึ่ง ย่อมกระเทือนไปยัสัญญาอีกโครงการหนึ่งแน่นอน เชื่อนักสืบเชอร์ล็อคได้เลย
ในบ้านเมืองนี้...ไม่มีเจ้าสัวใด ยอมเจ้าสัวคนไหน ดอกสิบอกไห่!
ลึกลับจากคลองผดุงกรุงเกษม ให้ข้อมูลสดๆ ร้อนๆ กับนักสืบมาว่า บอร์ดการรถไฟฯ ที่มี “อธิบดีเอ๋” เป็นประธาน ได้ลงมติอนุมัติการแก้ไขสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน เรียบร้อยโรงเรียนนายทุนไปแล้ว
ขั้นตอนหลังจากนี้ไป จะเสนอต่อคณะกรรมการบริหารสัญญา-คณะกรรมการกำกับสัญญาฯ ตามมาตรา 19 ของประกาศอีอีซี จากนั้น ทางสำนักงานอีอีซีจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่มี “พิชัย ชุณหวชิร” เป็นประธาน ก่อนจะเสนอต่อที่ประชุม ครม.ตามขั้นตอน
สาระหลักของ การแก้ไขสัญญาร่วมทุนรถไฟฟ้า 2 แสนล้าน ที่ผ่านบอร์ดรถไฟฯมี 3 ประเด็น
ประเด็นแรก ให้เอกชนผ่อนจ่ายค่าสิทธิร่วมลงทุนโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ (ARL) จำนวน 10,671 ล้านบาท โดยยอมจ่ายดอกเบี้ยค่าเสียโอกาสให้การรถไฟฯ 1,060 ล้านบาท รวม 11,717 ล้านบาท โดยผ่อนจ่าย 7 งวด งวดที่ 1-6 จ่าย 10% งวดที่ 7 จ่ายทั้งก้อนพร้อมดอกเบี้ย...
นักการเงินที่นิยมชมชอบเล่นแร่ แปรธาตุ แปลว่า การที่เสนอจ่ายเงินน้อยงวดแรกๆ งวดหลังจ่ายมาก แสดงว่า เอกชนเข้าใจเรื่อง “ค่าของเงินร้อยบาทในปัจจุบัน กับเงินร้อยบาทในอนาคต มีมูลค่าต่างกัน”
ประเด็นที่สอง เงินที่รัฐจะต้องจ่ายให้กับเอกชนที่ชนะการประมูล ซึ่งเงื่อนไขเดิมกำหนดว่า รัฐจะจ่ายให้ตั้งแต่ปีที่ 6-15 หรือเมื่อก่อสร้างเสร็จเปิดเดินรถ ตัวเลขราว 117,227 ล้านบาท แก้ไขสัญญาใหม่มาเป็น รัฐจะจ่ายเงินให้แก่เอกชนเร็วขึ้น เป็นเดือนที่ 18 หรือประมาณ 1 ปีครึ่ง นับจากออกหนังสือให้เอกชนเริ่มงาน
ผู้รับเหมาก่อสร้าง อธิบบายง่ายๆให้เห็นภาพชัดว่า เป็นการแก้สัญญาจากเดิมรัฐจะทยอยจ่ายเงินให้เมื่อโครงการแล้วเสร็จเป็น เอกชนสร้างไป- รัฐจ่ายเงินไป
ร่วมทุน PPP จึงแปลงกายข้ามสายพันธุ์ จากเอกชนหาเงินมาลงทุนแทนรัฐ แล้วรัฐค่อยหาเงินมาจ่ายให้ มาเป็น PPP ล่ำซำ-รัฐหาเงินมาจ่ายให้เอกชนก่อสร้าง...ตะแล่มๆ
นักการเงินสำทับว่า บุคคลากรของรัฐไม่เข้าใจ หรือแกล้งไม่เข้าใจ เรื่องค่าของเงินปัจจุบันกับเงินอนาคตแม้แต่นิดเดียว
ประเด็นที่สาม การรถไฟฯกับสำนักงานอีอีซี ขอให้เอกชนนำหนังสือค้ำประกันสัญญาเป็นแบงก์การันตี 2 ชุด ชุดแรกเป็นแบงก์การันตรีสำหรับโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ 10,670 ล้านบาท
ชุดที่สอง เป็นแบงก์การันตีการลงทุนในโครงการ 119,425 ล้านบาท เพื่อให้มั่นใจว่าเอกชนคู่สัญญาจะดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ
จุ๊ๆ ใครอย่าไปขวางนะ ของดีแบบนี้ เห็น “ด็อกเตอร์อีอีซี” บางคนพยายาม “ยกเมฆ” มาอธิบายว่า “การแก้สัญญาสร้างไป-รัฐจ่ายไป รัฐประหยัดเงินได้ถึง 3 หมื่นล้านบาทเชียว....
หึหึ 555 ประชาชีกินหญ้ากันละมั้ง นายท่าน!!!


