กลไกการพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ของไทยด้วย "Soft Power"
"Soft Power" อีกแนวคิดพัฒนาเพื่อหาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่ แต่จะทำอย่างไร? ให้การลงทุนของไทยไม่กลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แถมยังไปได้ไกล และยั่งยืน
ความพยายามในการผลักดันนโยบาย Soft power ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติรวมไปถึงการจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องน่าจะเป็นประเด็นที่หลายท่านกำลังให้ความสนใจกันว่าผลสุดท้ายจะดำเนินการออกมาในรูปแบบใด แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากพูดถึงคำว่า “Soft power” เราอาจจะสงสัยว่าความหมายจริง ๆ ของคำนี้คืออะไร จากแนวคิดของศาสตราจารย์โจเซฟ ไนย์ (Prof. Joseph S. Nye) แห่งมหาวิทยาลัย Harvard ผู้ริเริ่มคำดังกล่าวได้อธิบายไว้ว่า “Soft power” นั้นคือพลังในการจูงใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ๆ ตามที่เราต้องการและต้องปราศจากการใช้กำลังบังคับแต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็ตามคำว่า “Soft power” ในนิยามของนโยบายรัฐนั้นจะหมายถึงกระบวนการหรือกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ของชาติ (National branding) ที่ต้องการให้ประเทศอื่น ๆ ในโลกมองว่าเราเป็นประเทศในลักษณะใด มีแนวคิดและทิศทางในการพัฒนาชาติเป็นอย่างไร
ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Experience economy” โดยแนวคิดนี้จะพูดถึงระบบเศรษฐกิจที่ใช้กลไกทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมในการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้คนด้วยสินค้าและบริการที่น่าจดจำผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วม (co-creation) เพื่อทำให้สินค้าและบริการดังกล่าวตรงใจและเข้าถึงลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าหากเราสามารถสร้างแบรนด์ของชาติให้มีเอกลักษณ์และมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นได้นั้นย่อมส่งผลต่อเม็ดเงินเข้าประเทศที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน และจากประสบการณ์ของผู้เขียนเองก็เห็นว่าปัจจุบันมีหลายประเทศที่ได้นำวัฒนธรรมต่าง ๆ ของตนเองเข้ามาผลักดันเพื่อเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในการนำรายได้เข้าประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศบราซิล เยอรมนี รวมไปถึงเกาหลีใต้ที่เราคนไทยค่อนข้างคุ้นเคยและได้ซึมซับวัฒนธรรมในด้านต่าง ๆ
เริ่มต้นด้วยงานเทศกาลริโอ คาร์นิวัล (Rio Carnival) ของประเทศบราซิล งานดังกล่าวเป็นงานที่จัดขึ้นทุกปีเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมของประเทศบราซิลผ่านความร่วมมือของประชาชนและชุมชนในประเทศ โดยในงานจะเป็นการแต่งตัวในรูปแบบดั้งเดิมตามวัฒนธรรมพื้นเมืองที่แตกต่างกันของแต่ละชุมชนในประเทศบราซิล โดยในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศบราซิลเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวหมุนเข้าในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นของประเทศบราซิลอย่างมหาศาล และยังสามารถเพิ่มการจ้างงานให้กับคนท้องถิ่นได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานโรงแรม พ่อครัว ไกด์นำเที่ยว พ่อค้า-แม่ค้าขายของริมทาง รวมไปถึงนักดนตรีและนักแสดงโชว์ โดยในปี 2023 นี้ เทศกาลคาร์นิวัลได้ดึงดูดคนจากทั้งในและต่างประเทศประมาณ 40 ล้านคน และสามารถนำเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนในประเทศได้สูงถึงประมาณ 8,500 ล้านรีล หรือประมาณ 60,000 ล้านบาทเลยทีเดียว โดยเทศกาลนี้จะจัดขึ้นเพียงแค่ 1 สัปดาห์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีเท่านั้น
อีกงานหนึ่งที่น่าสนใจและคนไทยหลายท่านน่าจะรู้จักกันดีก็คือเทศกาล Oktoberfest หรือเทศกาลการเฉลิมฉลองของชาวเยอรมันที่จะถูกจัดขึ้นทุกปีในช่วงวันอาทิตย์แรกของเดือนตุลาคมเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 2 สัปดาห์ ซึ่งเดิมทีเทศกาลนี้ได้ถูกจัดขึ้นครั้งแรกในวันที่ 12 ตุลาคม 1810 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายและเจ้าหญิงในประเทศเยอรมันเท่านั้น แต่ในภายหลังเทศกาลดังกล่าวก็เริ่มนำเบียร์และอาหารเข้ามาร่วมฉลองเพื่อให้งานมีสีสัน หลังจากนั้นบริษัทผลิตเบียร์รายเล็ก-ใหญ่หลายรายก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในเทศกาล Oktoberfest มากขึ้นผ่านการสร้างฮอลล์ขนาดใหญ่หลากหลายฮอลล์ รวมไปถึงการนำวงดนตรีและเครื่องเล่นต่าง ๆ เข้ามาเพื่อเพิ่มอรรถรสให้กับนักดื่มและนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมงานดังกล่าว โดยในแต่ละปีปริมาณเบียร์ที่ถูกดื่มจะสูงถึงกว่า 7-8 ล้านลิตรเลยทีเดียว เทศกาลดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็นการเน้นไปที่การกิน-ดื่มเท่านั้น แต่เทศกาล Oktoberfest นั้นยังให้ความสำคัญกับการเฉลิมฉลองร่วมกันในรูปแบครอบครัวอีกด้วย โดยในปี 2022 มีผู้คนทั่วโลกเข้าร่วมเทศกาลจำนวนทั้งสิ้นประมาณเกือบ 6 ล้านคน และมีเม็ดเงินใช้-จ่ายตลอด 2 สัปดาห์ในช่วงเทศกาลทั้งสิ้นกว่า 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 42,000 ล้านบาท
และตัวอย่างสุดท้าย เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านน่าจะรู้จักประเทศที่สร้างซีรีส์ชื่อดังอย่าง Squid Game ที่มีคนดูมากที่สุดในโลกกว่า 94 ประเทศทั่วโลก วงดนตรีอย่าง BTS ที่มีเพลงติดชาร์ตทั่วโลก รวมไปถึง Blackpink กลุ่มนักร้องหญิงที่โด่งดังที่สุดในโลกในยุคปัจจุบัน ประเทศเกาหลีใต้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจที่สุดในประเด็นของการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ โดยรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ได้มุ่งเน้นโยบายทางด้านการสร้างแบรนด์ของประเทศและกิจกรรมทางด้านซอฟต์พาวเวอร์เป็นอย่างมาก โดยผ่านทางภาพยนตร์ ซีรีส์ แนวดนตรีในรูปแบบเกาหลี (K-Pop) ตลอดจนวัฒนธรรมการท่องเที่ยวและอาหาร นโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่จะพัฒนาระบบนิเวศทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ในประเทศเท่านั้น ชื่อเสียงของประเทศเกาหลีใต้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมบันเทิงก็ได้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งหากกล่าวโดยสรุปความสำเร็จของประเทศเกาหลีใต้นั้นมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1) ความสำเร็จทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาระบบการปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย (democratization)
2) การพัฒนาเนื้อหาสร้างสรรค์ผ่านวัฒนธรรมเฉพาะที่ถูกใจผู้บริโภคทุกกลุ่มทั่วโลก
3) การพัฒนาทางแพลตฟอร์มเทคโนลียีดิจิทัลที่เข้ามาช่วยเพิ่มการเข้าถึงผลงานของศิลปินเกาหลีใต้อย่างก้าวกระโดด (อาทิเช่น Netflix และ YouTube)
หากจะพูดถึงการริเริ่มให้ความสำคัญกับซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศเกาหลีใต้นั้น ต้องย้อนกลับไปในปี 1990 ซึ่งในตอนนั้นคณะที่ปรึกษาของประธานาธิบดี Kim Young-sam ได้เข้ามานำเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมที่มีศักยภาพของเกาหลีในตลาดโลก ในการนำเสนอดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นมูลค่าของซอฟต์พาวเวอร์ของสหรัฐอเมริกาผ่านภาพยนต์เรื่อง Jurassic Park โดยเปรียบเทียบรายได้จากภาพยนต์ดังกล่าวเพียงเรื่องเดียวนั้นสามารถทำเงินให้กับสหรัฐอเมริกาได้เทียบเท่ากับการส่งออกรถยนต์ Hyundai ของเกาหลีใต้ถึงจำนวน 1.5 ล้านคันเลยทีเดียว หลังจากนั้นในทุกรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ก็ได้ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมบันเทิงของประเทศอย่างจริงจัง ซึ่งสามารถเห็นเด่นชัดได้จากการขยับครั้งใหญ่ของรัฐบาลเกาหลีทั้งสิ้น 2 ครั้ง
โดยครั้งแรกในปี 1998 ผ่านนโยบาย Culture, Creativity, and Content เพื่อพัฒนาฐานเศรษฐกิจในประเทศไปสู่ยุคที่เรียกว่า “knowledge-based economy” และในครั้งที่สองเมื่อปี 2009 โดยรัฐบาลเกาหลีได้มีการจัดตั้งหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา Soft power ในประเทศที่มีชื่อว่า “KOCCA: The Korea Creative Content Agency” เพื่อส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์ในประเทศ และจากรายงานของ Reuters ได้สรุปไว้ว่าในปี 2022 ประเทศเกาหลีใต้สามารถสร้างรายได้จากธุรกิจบันเทิงรวมทั้งสิ้นกว่า 455,000 ล้านบาท
เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย รัฐบาลของเรานั้นก็มีแผนพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์เช่นเดียวกันผ่านโครงการที่มีชื่อว่า 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ หรือ One Family One Soft Power (OFOS) และการจัดตั้งหน่วยงานที่มีชื่อว่า Thailand Creative Content Agency (THACCA) โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับทักษะคนไทย 20 ล้านคนสู่แรงงานสร้างสรรค์ที่มีระดับทักษะขั้นสูง และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้อย่างน้อย 4 ล้านล้านบาทต่อปีให้กับประเทศ
ซึ่งในความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนนั้นมองว่ารัฐบาลมีแนวคิดที่ดีในการพัฒนาเพื่อหาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่โดยพัฒนาจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้วนั่นก็คือ “ศิลปะและวัฒนธรรม” เพราะในความเป็นจริงแล้วประเทศไทยเราเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเก็บรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีมาอย่างยาวนาน มีลักษณะภูมิประเทศที่ดีมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เหล่านี้สามารถต่อยอดเพื่อพัฒนาให้กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่เข้มแข็งได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการเล่นน้ำในวันสงกรานต์ วัฒนธรรมการท่องเที่ยวและการบริการ วัฒนธรรมอาหารการกินและการตกแต่งจาน รวมไปถึงวัฒนธรรมทางด้านศิลปะและการละเล่นต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งหลายวัฒนธรรมของเราก็ได้รับการการันตีทางด้านคุณค่ากลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมโลกจาก UNESCO เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การพัฒนาและการวัดความสำเร็จของ Soft power ค่อนข้างยาก
การพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาผ่านมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากและซับซ้อนมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาจากความเชื่อ วัฒนธรรม สังคม รวมไปถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวจะใช้เวลาในการพัฒนาค่อนข้างนานและเห็นผลช้า ไม่เหมือนกับการพัฒนา “Hard power” ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัด แหล่งท่องเที่ยว หรือการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ มากไปกว่านั้นการวัดความสำเร็จของการพัฒนา Soft power นั้นก็ค่อนข้างยากเช่นเดียวกัน เนื่องจากผลลัพธ์ของการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์นั้นจะให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความชื่นชอบ มุมมองและพฤติกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเมินการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของมูลค่าได้ยาก
ยิ่งเยอะ ยิ่งวุ่นวาย ไร้ทิศทาง ขาดความยั่งยืน
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการพัฒนา soft power ดังกล่าวเป็นเรื่องที่ยากและใช้เวลาค่อนข้างนาน ซึ่งเป้าหมายในการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาลมีกว่า 11 อุตสาหกรรม (อาทิเช่น อุตสาหกรรมเฟสติวัล ท่องเที่ยว เกมส์ ภาพยนตร์ ศิลปะไทย และอาหาร เป็นต้น) ผ่านการตั้งงบประมาณในเบื้องต้นไว้ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งหากภาครัฐต้องการที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ทั้งสิ้น 11 ด้านไปพร้อม ๆ กัน น่าจะเป็นเรื่องที่วุ่นวายอยู่พอสมควร เนื่องจากแต่ละอุตสาหกรรมต่างก็มีอัตลักษณ์เฉพาะในตัวเอง มากไปกว่านั้นแผนงบประมาณในการลงทุนของแต่ละอุตสาหกรรมก็แตกต่างกันค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน ผู้เขียนมองว่างบประมาณในการลงทุนทางด้านการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์บางส่วนอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเพียงพอและอาจจะกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำได้
โดยมุมมองของผู้เขียนนั้นเห็นว่าภาครัฐควรจะให้ความสำคัญกับแผน Soft Power แห่งชาติ อาจจะเพียงแค่ 1-2 อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงในปัจจุบันและคาดว่าจะมีมูลค่าสูงในอนาคตเสียก่อนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณและยังเป็นการใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อน (ซึ่งในช่วงแรกประเทศเกาหลีก็ตั้งไว้เพียงแค่อุตสาหกรรมบันเทิง โดยเน้นไปที่ภาพยนต์และละครเท่านั้น) และหลังจากนั้นจึงจะพัฒนาส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ความต่อเนื่องของนโยบายผ่านเจตจำนงทางการเมืองคือหัวใจ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเป็นห่วงก็คือความต่อเนื่องและเจตจำนงทางการเมือง หากนักการเมือง คณะรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรีมีการเปลี่ยนแปลงโดยส่วนใหญ่นโยบายต่าง ๆ ก็มักจะถูกปรับเปลี่ยนตามไปด้วย โดยผู้เขียนมองว่าการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ในช่วงต้นนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีภาครัฐเป็นแกนนำ แต่หลังจากที่มีการพัฒนาไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว ภาครัฐควรจะปรับบทบาทเป็นเพียงแค่ผู้สนับสนุน และมอบหมายให้ภาคเอกชน-ธุรกิจ-ชุมชนที่มีส่วนเกี่ยวกับข้องกับอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์นั้น ๆ เป็นผู้รับผิดชอบหลัก การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ในประเทศไทยก็น่าจะไปได้ไกล ถูกทิศทาง และเกิดความยั่งยืน
โดย อ.ดร.กติกา ทิพยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ


