มองผ่านเลนส์ทีดีอาร์ไอ กับวิกฤตตลาดหุ้นไทย
ทีดีอาร์ไอ วิเคราะห์ 5 ปัจจัยลบกระทบหุ้นไทยดิ่งสวนทิศทางเศรษฐกิจ แนะปฎิรูประบบเร่งด่วน เพื่อประครองตลาดทุนไทยให้รอดพ้นวิกฤต และสามารถกลับมาเติบโต เป็นกำลังหนุนเศรษฐกิจประเทศ
นับตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นของไทยมีการปรับลดลงกว่า 10% ซึ่งขัดกับภาพรวมของเศรษฐกิจในปีนี้ ที่ถูกมองว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ประมาณการการเติบโตที่ประมาณร้อยละ 3.6 เพิ่มขึ้นจากการเติบโตในปี 2022 ที่เติบโตได้เพียงร้อยละ 2.6 เท่านั้น
จากที่ผู้เขียนได้ติดตามข่าวสารและบทวิเคราะห์ที่ผ่านมา พบว่า ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันกำลังได้รับผลกระทบจาก 5 ปัจจัยหลักๆ ดังนี้
1. แนวโน้มรายได้ และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มลดลงจากเดิม ซึ่งทำให้การประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมถูกปรับลดตามไปด้วยจนทำให้นักลงทุนที่เชื่อมั่นในการลงทุนสายมูลค่า (value investing) ต้องขายหุ้นที่มูลค่าด้อยลงออกไปบางส่วน
2. ปัญหาการตกแต่งบัญชีของบางบริษัท ซึ่งส่งผลกระทบไม่ใช่เฉพาะกับตัวบริษัทที่มีการตกแต่งบัญชีเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบในวงกว้างถึงความเชื่อมั่นในกลไกการตรวจสอบผลการดำเนินงานของธุรกิจ นักลงทุนเกิดความไม่แน่ใจว่ามีธุรกิจมากน้อยเพียงใดที่สามารถดำเนินการปิดบัง ซ่อนเร้น หรือตกแต่งตัวเลขต่างๆ จนทำให้ดูเหมือนว่าบริษัทมีมูลค่าที่สูงเกินความเป็นจริง
3. ปัญหาในเชิงระบบที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายหุ้นมีการเปิดโอกาสให้นักลงทุนบางกลุ่มสามารถขายหุ้นได้โดยไม่ต้องมีหุ้น หรือที่เรียกว่า naked short จนเกิดเป็นโอกาสในการเก็งกำไรขาลงได้มากยิ่งขึ้น และเมื่อนำปัญหานี้มาผสมกับการซื้อขายของนักลงทุนบางส่วนที่มีการวางหุ้นเป็นหลักประกัน จนทำให้เกิดสถานการณ์การถูกบังคับขายเพื่อปิดสถานะการขาดทุน ยิ่งทำให้ตลาดหุ้นเกิดความปั่นป่วนได้มากยิ่งขึ้น
4. ความไม่แน่นอนของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาจัดการในเรื่องของการลดการผูกขาด การจัดเก็บภาษีคนรวย ตลอดจนการจัดเก็บภาษีตลาดทุน ก็เป็นอีกประการหนึ่งที่สร้างความกังวลใจว่าจะส่งผลกระทบตลาดหุ้นมากน้อยเพียงใด โดยความกังวลใจจะอยู่ที่ว่าธุรกิจในตลาดหุ้นที่สร้างผลกำไรได้จากการผูกขาดอาจจะมีกำไรลดลง นักลงทุนรายใหญ่อาจจะผันเงินบางส่วนออกไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ในขณะที่นักลงทุนสายเก็งกำไรก็อาจจะได้รับผลกระทบจากสภาพคล่องที่หายไปเนื่องจากค่าธรรมเนียมถูกจัดเก็บบนผลกำไรที่เกิดขึ้น (capital gain tax) ตลอดจนความไม่แน่ชัดว่าการจัดเก็บภาษีกับตลาดทุนที่จะเกิดขึ้นจะจบลงแค่ภาษีที่ถูกนำเสนอในระหว่างการหาเสียงเท่านั้น หรือหากภาครัฐยังคงต้องการงบประมาณเพิ่มเติมในการดำเนินนโยบายรัฐสวัสดิการก็อาจจะมีการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจากตลาดทุนมากยิ่งไปกว่าเดิมอีก
5. นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยออกไปจำนวนมากอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งบางส่วนเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่เติบโตอย่างไม่เท่ากัน ทำให้เงินลงทุนมักจะไหลไปยังประเทศที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดหุ้นไทยถูกมองในสายตานักลงทุนต่างชาติว่าเป็นธุรกิจกลุ่มโบราณ (traditional) ไม่ได้มีส่วนร่วมกับธุรกิจอนาคตซักเท่าไหร่ เช่น ตลาดหุ้นไทยจะไม่ค่อยมีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยี AI เป็นต้น
ผู้เขียนมองว่าวิกฤติตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ ถือเป็นปัญหาที่ใหญ่และสำคัญมาก เพราะแต่ละประเด็นจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกัน และต้องการการปฏิรูปอย่างเป็นระบบโดยเร่งด่วนเพื่อที่จะประคองตลาดหุ้นไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตต่างๆ ตลอดจนผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยสามารถกลับมาเติบโต เป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไปได้ในฐานะของแหล่งเงินทุนชั้นดีสำหรับการประกอบธุรกิจ และในฐานะแหล่งเงินออมเพื่อการเกษียณอายุที่มั่นคงของประชากรวัยแรงงาน
โดย : ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)


