ประชานิยม “ของมันต้องมี” กับหนี้สาธารณะ
นักวิชาการ ห่วง 19 นโยบายประชานิยม พรรคอันดับ1 ต้องใช้งบประมาณเฉียด 6.5 แสนล้าน ดันหนี้สาธารณะพุ่งรุนแรง แต่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ระยะสั้น เป็นภาระรายจ่ายประเทศในระยะยาว ไม่ช่วยหลุดพ้นความยากจนได้แท้จริง ชวนคนไทยคิดขายฝัน หรือ ทำได้จริง
หากจะพูดถึงนโยบายที่จำเป็นจะต้องมีสำหรับรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะมาถึงนั้น จริง ๆ แล้วตัวนโยบายของพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงมาอันดับ 1 นั้นค่อนข้างน่าสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของท่าน ศาสตราจารย์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่เปรียบสวัสดิการรัฐที่ดีต้องจัดสรรให้ตั้งแต่ “ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” และถ้าหากทำได้จริงน่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ลดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวย รวมไปถึงการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยดีขึ้นมากเลยทีเดียว
ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านผู้อ่านคงกำลังสงสัยว่าถ้าหาก (ว่าที่แกนนำ) รัฐบาลทำตามนโยบายต่าง ๆ ที่ได้หาเสียงไว้จะต้องใช้งบประมาณประมาณเท่าไหร่ อ.ขออนุญาตเอาตัวเลขคร่าว ๆ ของบางนโยบายจาก 19 นโยบายด้านสวัสดิการมาให้ทุกท่านลองพิจารณากัน เช่น
1) เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 3,000 บาท งบประมาณที่ต้องใช้ประมาณ 420,000 ล้านบาทต่อปี
2) เงินคนพิการเดือนละ 3,000 บาท งบประมาณที่ต้องใช้ประมาณ 70,000 ล้านบาทต่อปี
3) เงินเด็กเล็กเดือนละ 1,200 บาท งบประมาณที่ต้องใช้ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี เป็นต้น
โดยรวมหากจำเป็นที่จะต้องทำทุกนโยบายที่เกี่ยวกับสวัสดิการทั้งหมด 19 นโยบายจะต้องใช้เงินประมาณเกือบ 650,000 ล้านบาทต่อปี
แม้ว่าการทำตามสัญญาทางการเมืองของพรรคการเมืองเป็นสิ่งที่ดี แต่ อ.อยากให้ดูความเป็นไปได้และศักยภาพทางการคลังของประเทศให้ดีเสียก่อนที่จะจัดสรรนโยบายให้กับประชาชน อ.ขอยกตัวอย่างประเทศที่เป็นรัฐล้มเหลว หรือ failed state อันเนื่องมาจาก “นโยบายประชานิยม” นั่นก็คือประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งจากข้อมูลของโอเปกในปี 2015 ได้ระบุว่าประเทศเวเนซุเอลาในอดีตเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในแถบละตินอเมริกา เนื่องจากเป็นประเทศที่มีปริมาณน้ำมันดิบสำรองมากที่สุดในโลก แต่ประเทศร่ำรวยขนาดนี้ก็ได้กลับกลายมาเป็นประเทศล้มเหลวที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุดในโลกและประชากรมีความยากจนสูงถึง 90%
โดยความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลเวเนฯ นั้น เริ่มต้นที่การออกนโยบายการจัดตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติโดยมีรัฐเป็นเจ้าของโดยเข้าไปยึดและควบคุมกิจการที่เกี่ยวกับพลังงานทั้งหมดของภาคเอกชนต่างชาติซึ่งส่งผลให้รายได้ของรัฐในระยะสั้นเพิ่มขึ้นสูงมาก แต่ในแง่การวางแผนสำหรับการบริหารจัดการในระยะกลาง-ยาวนั้นไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงการดำเนินนโยบายประชานิยมอย่างสุดกู่ ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันอย่างที่ทุกท่านทราบดีว่ารายได้หลักของประเทศเวเนซุเอล่านั้น กว่าร้อยละ 90 มาจากการขายน้ำมัน ดังนั้น เมื่อเกิดสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกตกต่ำลงอย่างมากในช่วงปี 2014-16 จึงเป็นเหตุให้เงินสดสำรองระหว่างประเทศลดลงจนแทบไม่มีเหลือ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้ เนื่องจากการชำระหนี้ต้องจ่ายเป็นเงินสกุลต่างประเทศเท่านั้น
นิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีคนล่าสุดหลังจากการเสียชีวิตของฮิวโก ชาเวซ ก็ยังคงดำเนินนโยบายประชานิยมอยู่อย่างต่อเนื่องเพราะไม่สามารถหยุดการดำเนินการได้ เนื่องด้วยประชาชนที่มีรายได้น้อยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องพิมพ์ธนบัตรออกมาโดยไม่อิงกับระบบการเงินและเศรษฐกิจของโลก ทำให้เงินสกุลโบลิวาร์แทบจะไร้ค่า ส่งผลให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงในประเทศ เงินด้อยค่าลงจนไม่สามารถนำมาซื้อสินค้าได้ จากในช่วงปี 2012 หนึ่งดอลล่าห์สหรัฐจะเท่ากับประมาณ 5 โบลิวาร์ แต่ในเวลาที่แย่ที่สุดช่วงปลายปี 2021 หนึ่งดอลล่าห์สหรัฐจะเท่ากับประมาณ 4,000,000 โบลิวาห์ เลยทีเดียว ในผลกระทบเชิงสังคมจากปัญหาดังกล่าวก่อให้เกิดวิกฤตทางด้านการขาดแคลนอาหาร ยารักษาโรคและของใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของอาชญากรรมและการปล้นสะดม และในเชิงเศรษฐกิจผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ในช่วงปี 2020 ประเทศเวเนซุเอลากลายเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลก (ประมาณ 300% ของจีดีพี) และรัฐบาลยังไม่สามารถใช้หนี้คืนให้กับเจ้าหนี้ได้
แม้ว่าประเทศไทยนั้นจะมีระดับหนี้สาธารณะที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับระดับหนี้สาธารณะของนานาชาติ (จากข้อมูลปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 60% ต่อจีดีพี) แต่ อ. ก็อยากจะฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ให้ระวังถึงผลกระทบของการใช้งบประมาณในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวกับประชานิยม ส่วนตัว อ. เองก็ไม่ได้มีปัญหากับนโยบายประชานิยมและเห็นด้วยเป็นอย่างมากหากนโยบายดังกล่าวสามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางได้จริง แต่ทุกท่านคิดตรงกันมั้ยคะว่าเมื่อไหร่ที่เราพูดถึงคำว่า “นโยบายประชานิยม” เราจะรู้สึกว่ามันมีนัยยะในทิศทางที่ไม่ค่อยจะดีมากเท่าไหร่นัก โดยในมุมมองของ อ. นั้น ขออนุญาตสรุปข้อควรพิจารณาต่อการออกนโยบายสวัสดิการ (กึ่งประชานิยม) ไว้ดังนี้ค่ะ
1) หากรัฐไม่สามารถหาเงินมาจัดสรรได้ อาจจะต้องทำการกู้เงินจากต่างชาติซึ่งส่งผลเสียต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะอย่างรุนแรง มากไปกว่านั้นหลังจากการกู้เงินแล้วภาครัฐต้องคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยทุก ๆ ปี ส่งผลต่อภาระรายจ่ายประจำของประเทศ (เป็นรายจ่ายค่อนข้างสูงอยู่ถึง 60-70% ของงบประมาณประจำปีของภาครัฐ) ซึ่งอาจจะส่งโดยตรงต่อการลงทุนในภาคส่วนอื่นที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ
2) ในทางเศรษฐศาสตร์และจากงานวิจัยทางวิชาการหลากหลายงานเห็นตรงกันว่านโยบายประชานิยมจะเข้ามาช่วยประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ (หรืออาจจะยาวขึ้นถ้าบางนโยบายมีผลผูกพัน อาทิ เงินช่วยเหลือเด็กแรกเกิด หรือเงินบำนาญผู้สูงอายุ) แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างแท้จริง และในบางกรณีอาจจะทำให้ประชาชนเกิดการเสพติดนโยบายประชานิยม อย่างในกรณีของประเทศเวเนซุเอลา เป็นต้น
3) การหารายได้หลักเพื่อนำมาใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการ ควรจะมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ภายในประเทศและสามารถเป็นแหล่งรายได้หลักในระยะยาว เนื่องจากนโยบายสวัสดิการบางอย่าง ฐานของผู้รับสิทธิประโยชน์จะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
4) ถ้าการที่รัฐจัดสรรเงินเข้าระบบผ่านนโยบายสวัสดิการมากเกินไป แต่นโยบายทางด้านการเงินการคลังที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมทำได้ไม่ดีพอ อาจจะทำให้เกิดเงินเฟ้อขั้นรุนแรงที่อาจจะส่งผลเสียถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศได้
5) ในกรณีสุดท้ายการออกนโยบายประชานิยมถือเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สามารถเข้าถึงง่ายและได้รับการรับรู้จากประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะประชาชนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง จึงทำให้พรรคการเมืองที่เสนอนโยบายดังกล่าวมีโอกาสที่จะได้คะแนนเสียงค่อนข้างสูง พรรคการเมืองอาจจะต้องระวังประเด็นดังกล่าวอยู่พอสมควรในแง่ของศักยภาพทางการคลังและหนี้สาธารณะ ในส่วนของประชาชนเองก็อยากให้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนว่านโยบายต่าง ๆ “ที่ต้องมี” สามารถทำได้จริงหรือไม่
โดย ดร.กติกา ทิพยาลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


