สรุป 4 วัฒนธรรมองค์กรของสตาร์ทอัพ ที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่มาทำงานด้วย
สรุปวัฒนธรรมองค์กรของสตาร์ทอัพ 4 ด้าน ที่หากองค์กรใดสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้แล้ว จะช่วยดึงดูดคนรุ่นใหม่เลือกมาทำงานด้วย เพราะมีทั้งความท้าทาย ไม่มีลำดับขั้นในองค์กรที่ยุ่งยากซับซ้อน ได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำ หรือได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่
ในตอนที่แล้วเราติดกันไว้ว่า ทำไมนะ คนถึงอยากมาทำงานในสตาร์ทอัพจังเลย สิ่งหนึ่งที่มีส่วนสำคัญมาก ๆ ที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่มาทำงานในสตาร์ทอัพ คือ วัฒนธรรมองค์กรของสตาร์ทอัพ ซึ่งมักจะเป็นวัฒนธรรมที่คนรุ่นใหม่ชอบ มีความท้าทาย ไม่มีลำดับขั้นในองค์กรที่ยุ่งยากซับซ้อน ได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำ หรือได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่
ทีนี้จะมาขอเล่าให้ฟังว่า วัฒนธรรมองค์กรของสตาร์ทอัพมักจะเป็นแบบไหนที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้อยากมาทำงานด้วย แต่ที่จะเล่าให้ฟังนี้เป็นพื้นฐานโดยทั่วไป ซึ่งจะเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่มีความคล้ายคลึงกัน โดยจะขอยกตัวอย่างสไตล์การทำงานในแต่ละแบบให้ทุกคนได้อ่านกัน
ตัวอย่างวัฒนธรรมองค์กรของสตาร์ทอัพ (Common culture in Startup)
1. Moonshot Goal: วัฒนธรรม Moonshot คือวัฒนธรรมองค์กรของสตาร์ทอัพที่ต้องการเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือเรียกว่าการเติบโตแบบ 10x พูดง่าย ๆ คือการเติบโตยอดขายให้ได้ 10 เท่า เพื่อทำให้คนคิดการใหญ่ ไม่ได้คิดเป้าหมายเล็ก ๆ
เพราะในองค์กรปกติเวลาเราเสนอเป้าหมายงบการเงิน ก็มักจะเสนอยอดขายให้โต 5% - 20% หรือ 30% ซึ่งถือว่าก็หรูมาก ๆ แล้ว แต่ขององค์กรสตาร์ทอัพนั้นเวลาเสนอจะต้องทำอย่างไรให้ North Star Metric (NSM) ที่เติบโต 10 เท่า โดยที่ NSM อาจจะไม่ใช่เป็นรายได้เสมอไป แต่เป็นตัวชี้วัดอื่น ๆ เช่น
- ยอดขายจากแคมเปญการตลาดในแต่ละเดือน (MoMS)
- อัตราการแปลงลูกค้าเป็นผู้ติดตามจากเครื่องมือดึงดูดผู้เข้าชม (Visitor to lead conversion rate)
- อัตราการแปลงผู้เข้าชมเป็นทดลองใช้ฟรีและจากทดลองใช้ฟรีเป็นลูกค้าที่ชำระเงิน (Visitor to free trial conversion rate) และ (Activation Rate)
- จำนวนเงินที่เข้ามาแบบ Recurring ในแต่ละเดือน (MRR), แต่ละไตรมาส (QRR), แต่ละปี (ARR) เป็นต้น
- เวลาเฉลี่ยที่ใช้บนแพลตฟอร์ม (ระยะเวลาเฉลี่ยของ Session)
- ผู้เข้าชมที่กลับมาใช้แอปหรือเว็บไซต์ของคุณอีกครั้ง (ผู้เข้าชมที่กลับมา) ผู้ใช้รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน (DAU, WAU, และ MAU)
- ความพึงพอใจของผู้ใช้ (คะแนนสุดยอดผู้สนับสนุนสุทธิ (NPS))
อ้างอิงจาก
https://getstream.io/blog/north-star-metric/#:~:text=Facebook's%20north%20star%20metric%20is,depends%20highly%20on%20user%20engagement
ตัวอย่างของ NSM ที่ใช้ในองค์กรสตาร์ทอัพชั้นนำ ตัวอย่างเช่น Zoom: Weekly Hosted Meetings, Facebook: Monthly Active Users (MAU), Netflix: Watch Time, Spotify: Time Spent Listening จะเห็นได้ว่า NSM ในแต่ละองค์กรสตาร์ทอัพนั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งจะสะท้อนลักษณะของสตาร์ทอัพนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี
เมื่อเป้าหมายที่จะต้องเติบโต 10x นั้นไม่ใช่เป้าหมายปกติ ก็เลยทำให้คนในองค์กรต้องคิดวิธีการทำงานที่ไม่ปกติ ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ชอบความท้าทายมาก ๆ ว่าจะทำยังไงดีนะที่จะทำให้ถึงเป้าหมายนั้น ซึ่งแน่นอนว่าการตั้งเป้าใหญ่ ทีมก็จะได้วิธีการทำงานในรูปแบบใหม่ที่ไม่ซ้ำกับวิธีการทำงานเดิม ๆ หรือ Business Model เดิม
2. Project Based Culture: ในเมื่อเป้าหมายมันเป็นเป้าหมายที่ไม่ปกติ ดังนั้นถ้าใครคิดไอเดียอะไรออกมาได้ก็มักจะได้รับการมอบหมายให้ทำงานนั้น ๆ โดยเฉพาะคนที่ชอบแสดงความสามารถมาก ๆ ก็จะได้ทำงานตั้งแต่ A-Z เลยซึ่งในองค์กรของสตาร์ทอัพนั้น มักไม่มีโครงสร้างองค์กรที่จะมารองรับงานต่าง ๆ
ทำให้ลักษณะของคนที่จะต้องเข้ามาทำนั้น จะได้ทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ หรือที่ BUZZEBEES จะเรียกว่า เน้นให้เกิด Horizontal Skill หรือทักษะแนวกว้างไม่ใช่แนวตั้ง ซึ่งทักษะแนวกว้างคือการทำได้หลายอย่าง เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้น
ยกตัวอย่าง คนสองคนที่ได้รับการมอบหมายงานที่แตกต่างกัน โดยคนแรก ได้รับการมอบหมายงานที่จะต้องทำด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบแบบ Project Base คือต้องไปดูตั้งแต่ Market Feasibility ไปจนถึงกำหนดว่าผลิตภัณฑ์ที่ต้องการผลิตจะเป็นยังไง Business Model จะเป็นอย่างไร ทำแผนการตลาดและการทำ Go to Market Strategy ไปถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการ Launch ผลิตภัณฑ์ออกไป ดูผลตอบรับของผู้ใช้งาน เรียกได้ว่าเป็นการทำงานที่ต้องรู้ทุกอย่างทุกขั้นตอน
เปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่ง ถูกกำหนดว่าในผลิตภัณฑ์ A ให้ออกแบบผลิตภัณฑ์นั้นให้สวยที่สุด โดยทำอย่างเดียว และใช้เวลาออกแบบกับมันมาก ๆ จนสวยที่สุด
โดยส่วนใหญ่บริษัทสตาร์ทอัพจะให้คุณค่ากับคนประเภทแรกมากกว่า เนื่องจากทำได้หลายอย่าง เพราะต้องมีการลองผิดลองถูกค่อนข้างมาก หรือพูดง่าย ๆ ก็คือมีโอกาสที่จะเป็นคนที่มี Learning Curve ที่มากกว่า
ดังนั้นจึงหมายความว่าใน Culture ของสตาร์อัพ ทุกคนที่อยากแสดงฝีมือ จะมีเวทีที่จะให้แสดงฝีมือได้เต็มที่ โดยที่จะมี Founder หรือเจ้าของกิจการนั้นเข้ามาร่วมทำงานอย่างใกล้ชิด ซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นกำไร เพราะว่าการที่จะอยู่ในองค์กรสตาร์ทอัพ แล้วจะประสบความสำเร็จจากการได้แสดงฝีมือและได้ใกล้ชิดคนเก่งระดับนี้ บางทีโอกาสพวกนี้ก็ไม่ได้มีมาง่าย ๆ
3. Flat Organization: ลักษณะองค์กรที่ช่วยให้คนเติบโตเร็วมักเป็นองค์กรที่เป็นแบบ Flat Organization หรือองค์กรแนวราบคือไม่มีชั้นต่าง ๆ มากมาย ใครจะคุยกับใครก็ได้ และวัฒนธรรมองค์กรต้องการคนที่แสดงความคิดเห็น รวมถึงคนที่กล้าแสดงออกกล้าเถียงกับเจ้านาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งถ้าใครเป็นคนที่ต้องการแสดงความสามารถและต้องการทำให้เกิด Impact ก็จะชอบองค์กรลักษณะนี้ ซึ่งหลาย ๆ องค์กรก็อาจจะบอกว่า ฉันก็เป็นอย่างนั้น แต่จริง ๆ แล้วพอเข้ามาในองค์กรจริง ๆ โอกาสที่จะได้แสดงความคิดเห็นอาจจะมีน้อยมาก แล้วก็เจ้านายไม่ฟังทำให้ไม่ได้เกิดวัฒนธรรมแบบนี้ในการทำงานจริง
4. Proposed Organization: สตาร์ทอัพมักจะเป็นองค์กรที่เรียกว่า Proposed Organization หรือองค์กรที่มีจุดมุ่งหมายในการเปลี่ยนโลกไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ยกตัวอย่าง จุดมุ่งหมายของแต่ละองค์กรสตาร์ทอัพในตลาด เช่น
Tesla: To accelerate the world’s transition to sustainable energy
Shopify: Make commerce better for everyone, so businesses can focus on what they do best: building and selling their products
TED: Spread ideas
Amazon: To be Earth’s most customer-centric company, where customers can find and discover anything they might want to buy online
Google: To organize the world’s information and make it universally accessible and useful
อ้างอิงจาก https://www.oberlo.com/blog/inspiring-mission-vision-statement-examples
ดังนั้น พอคนเราทำงานโดยที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วก็มักจะมีพลังพิเศษในการอยากมาทำงานในทุกวัน ดูเหมือนอุดมคติ แต่ว่าคนที่เป็น Founder สตาร์ทอัพหลายคน มีความคิดและมีแรงผลักดันประเภทนี้ ที่จะทำให้การต่อสู้ไม่ได้เป็นการต่อสู้เพื่อธุรกิจเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้ที่เรียกว่า For the greater good ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตรงกับคำกล่าวของ Elon Mask ด้านล่าง
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ก็จะเป็นตัวอย่างเบื้องต้นที่มักจะมีในวัฒนธรรมองค์กรของสตาร์ทอัพที่มีความแตกต่างกันกับการทำงานในองค์กรปกติทั่วไป ซึ่งเป็นแรงดึงดูดทำให้คนอยากมาทำงานในองค์กรเหล่านี้ แต่ถ้าเจาะลึกไปดูแต่ละองค์กรนั้นก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า Sub Culture ที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ซึ่งอาจจะเล่าให้ฟังเป็น Case study ในตอนถัดไปค่ะ
โดย: ณัฐธิดา สงวนสิน กรรมการผู้จัดการ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (Buzzebees) และ Guru ด้าน CRM & Digital Engagement Platform


