แก้ รธน. จุดร่วมพรรคการเมือง ทางออกประชาธิปไตยในอนาคต
ปัญหาของการเมืองไทย ที่หลายฝ่ายมองว่าต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้มีความเป็นประชาธิปไตย จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เป้าหมายบรรลุ พรรคการเมืองต้องประกาศพันธสัญญาว่า จะร่วมมือกันดำเนินการ ไม่ว่าหลังเลือกตั้งจะเป็นพรรครัฐบาล หรือ พรรคฝ่ายค้านก็ตาม
การเลือกตั้ง 66 ที่เข้นข้นทุกขณะ แม้ยังไม่ประกาศยุบสภา และ ประกาศเลือกตั้งใหม่ แต่ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองมีความคึกคัก ทั้งในแง่การเตรียมบุคคลากรเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง และ การออกนโยบายสำหรับการหาเสียงที่กำลังจะมาถึง ทุกพรรคการเมือง มีการออกแคมเปญ ออกนโยบายเพื่อดึงดูดประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง โดยมุ่งเน้นนโยบายเศรษฐกิจเชิงประชานิยม หรือ บางพรรคเอาจเรียกว่านโยบายประชาธิปไตยที่กินได้ก็ตาม
การแข่งขันในนโยบายหาเสียงในเชิงประชานิยม ถึงขั้นแต่ละพรรคการเมืองพยายามเคลมนโยบายต่างๆว่าเป็นของตัวเอง ไม่ว่าผ่ายรัฐบาลเองที่แย่งกันชูว่าเป็นตัวจริงในเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบ้างละ แย่งกันประกาศต่อสังคมถึง มาตรการเพิ่มค่าป่วยการของ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และอาสาสมัครกรุงเทพมหานคร (อสส.) ที่เพิ่งผ่านมติ ครม.บ้างละ หรือแม้แต่พรรการเมืองคนละขั้วอย่างเพื่อไทย กับ ภูมิใจไทยต่างแย่งกันเคลมนโยบายพักหนี้ว่าเป็นของตัวเอง
แต่มีประเด็นหนึ่ง ที่เป็นจุดร่วมทางการเมือง ที่หลายพรรคการเมืองเห็นพ้องต้องกัน และมีการพูดถึงในการเดินสายหาเสียงในช่วงแรกนี้ก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 (รธน.60) อย่างเช่น พรรคประชาธิปัตย์ที่ล่าสุด จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ประกาศชัดเจนว่าพรรคต้องการแก้ไข รธน.60 ยกฉบับยกเว้น หมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์ หรือในหมวด1 และ 2 เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา ประกาศชัดเจนเช่นกันว่า พรรคต้องการให้มีการแก้ไข รธน.60 ทั้งฉบับเช่นกัน โดยเสนอไปถึงขั้นให้มีการตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. เหมือนกับปี 2540 เลยทีเดียว ส่วนท่าทีของพรรคฝ่ายค้านไม่ว่าจะเป็นพรรคก้าวไกล และ เพื่อไทย ที่ผ่านมามีความชัดเจนในเรื่องความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 มาโดยตลอด
คำถามก็คือ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องแก้ไข รัฐธรรมนูญ 2560
เรื่องนี้หากย้อนกลับไปดูนับตั้งแต่ มีการร่างรัฐธรรมนูญ จนกระทั้งในขั้นตอนการทำประชามติ และหลังประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อ วันที่ 6 เมษายน 2560 เป็นต้นมา มีความเห็นต่างในเรื่องของรัฐธรรมนูญค่อนข้างมาก มีการสรุปประเด็นความเห็นจากการสำรวจความเห็นของประชาชน เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 60 ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญในปีนั้นของ สวนดุสิตโพล ออกมาดังนี้
ประเด็นต่าง ๆ ประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไร
-ระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม พรรคที่ได้ ส.ส. มากที่สุด อาจไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล อาจทำให้ได้รัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ เห็นด้วยร้อยละ 55.67 ไม่เห็นด้วย 37.63
-เป็นรัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกง เพราะมีกลไกในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างเข้มข้น เห็นด้วย ร้อยละ 72.25 ไม่เห็นด้วย 25.43
-เป็นรัฐธรรมนูญฉบับทุนขุนนาง เพราะทำให้รัฐมีอำนาจ เป็นใหญ่ ไม่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เห็นด้วยร้อยละ 45.79 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 49.40%
-รัฐธรรมนูญแก้ไขได้ยาก เพราะต้องอาศัยทั้งเสียงจาก ส.ว. และ ส.ส. เห็นด้วย ร้อยละ 65.29 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 30.41
-รัฐธรรมนูญเปิดช่องทำให้เกิดการสืบทอดอำนาจของ คสช. เห็นด้วย ร้อยละ 57.82 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 37.71
-รัฐธรรมนูญเปิดช่องทำให้เกิด “นายกฯคนนอก” เห็นด้วยร้อยละ 63.14 ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 31.70
“จุดแข็ง-จุดอ่อน” ของ รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560
จุดแข็ง (3 อันดับแรก)
-เน้นการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น ร้อยละ 37.07
-เน้นการปฏิรูป พัฒนาคนและประเทศชาติ ร้อยละ 25.45
-มีบทลงโทษพรรคการเมืองที่รุนแรง ร้อยละ 16.63
จุดอ่อน (3 อันดับแรก)
-ถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ คสช. ร้อยละ 26.92%
-ประชาชนมีส่วนร่วมน้อย ร้อยละ 23.46
-เน้นเรื่องการเมืองมากกว่าเรื่องประชาชน ร้อยละ 21.92
(ที่มา สวนดุสิตโพล )
นอกจากนี้ ประเด็นหนึ่งในการเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ก็คือ บทบาทของสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. โดย วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารทั้งหมด อีกทั้งมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นเครื่องมือสำหรับสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และในการทำหน้าที่ ที่ผ่านมา มีรายงานจาก ไอลอว์ว่า สว. มีการแต่งตั้งญาติของตัวเองเข้ามาเป็นคณะทำงาน และออกเสียงร่างกฎหมายไปในทิศทางเดียวกันถึงร้อยละ 98 อีกด้วย ซึ่งบทบาทของ สว. บรรดาพรรคการเมืองต่างเห็นว่าเป็นอุปสรรคในพัฒนาระบอบประชาธิปไตย และ พยายามขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องดังกล่าวมาตลอด มีกระทั้งข้อเสนอ ไม่ต้องมี สว.หรือ ใช้ระบอบ สภาเดี่ยว ที่มีเพียง สภาผู้แทนราษฎร กันเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้ว ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา ไปได้ได้ยากยิ่ง เพราะการออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ทำให้การแก้ไขทำได้ยาก และที่สำคัญ เงื่อนไขหนึ่งคือ ต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสองสภา หรือ 375 เสียงแล้ว ในจำนวนนี้ต้องได้เสียงเห็นชอบจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวน ส.ว. หรือ 84 คน ทำให้หลายฝ่ายมองว่า เป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ดังนั้น ปัญหาของการเมืองไทย ที่หลายฝ่ายมองว่าต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้มีความเป็นประชาธิปไตย และ ให้ ส.ส.สามารถทำหน้าที่ในการดูแลประชาชนได้มากยิ่งขึ้นนั้น การผนึกกำลังกันของ ส.ส. จากพรรคการเมือง จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เป้าหมายในการแก้ไขกฎหมายสูงสุดที่เป็นหลักในการปกครองประเทศมีความเป็นสากลในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองทุกพรรคต้องประกาศร่วมมือกัน และ ประกาศเป็นพันธสัญญากันตั้งแต่ต้น ไม่ว่าหลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองใดจะไปอยู่ในซีกรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็ตาม จะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามเป้าหมายให้ได้
นี้จึงเป็นจุดร่วมของบรรดาพรรคการเมืองที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เป็นการแสดงจุดยืนของพรรคการเมืองเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแนวนโยบายที่เสนอให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือกเข้ามา ในการเลือกตั้ง66 นี้