posttoday

ใต้ถุนบ้านซอยสวนพลู (13)

01 มกราคม 2565

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

**********

ปีใหม่คือเทศกาลแห่งความสุข และที่บ้านสวนพลูก็เต็มไปด้วยความสุขดังกล่าวนั้น

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ถ้าไม่นับฐานะตำแหน่งอื่น ๆ ที่คนรู้จัก ท่านก็คือ “เซเลบ” ที่เด่นดังในทุกอีเว้นต์ของงานสังคมต่าง ๆ คนหนึ่งของเมืองไทยเช่นกัน คืองานใดได้ท่านไปร่วมในกิจกรรม งานนั้นก็จะมีสีสันและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน มีแต่งานเดียวที่ท่านไม่พลาดที่จะปลีกตัวมาจัดในบ้านชองท่าน และต้องถือเป็น “ไปรเวทอีเว้นต์” ที่ท่านจะจัดให้แก่ญาติมิตรของท่านเท่านั้น นั่นก็คืองานปีใหม่ ซึ่งถ้าใครได้ไปร่วมงานปีใหม่ที่บ้านสวนพลูนี้ก็จะประทับใจไม่มีวันลืม

ผมได้ไปร่วมงานปีใหม่ที่บ้านสวนพลูเป็นครั้งแรก ในวันที่ 31 ธันวาคม 2521 ผมไปถึงบ้านสวนพลูตั้งแต่ก่อนบ่ายสี่โมง เพื่อไปนั่งทานน้ำชาเป็นเพื่อนท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ แต่ก็ปรากฏว่ามีลูกศิษย์คนอื่น ๆ มานั่งเป็นเพื่อนท่านอยู่แล้ว 4-5 คน พอสัก 6 โมงเย็นก็มาเพิ่มเป็น 10 คน

และที่เป็นแขกประจำของทุกปีก็คืออดีตภรรยาของท่าน คือ ม.ร.ว.หญิงพักตร์พริ้ง ทองใหญ่ กับบุตรชาย คือ ม.ล.รองฤทธิ์ ปราโมช รวมถึงคนใกล้ชิดรุ่นใหญ่ อย่างท่านอาจารย์ ดร.เกษม ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการพรรคกิจสังคม พ.ต.อ.ประจักรา บุนนาค เลขานุการกรมตำรวจ และท่านนิภัทร บุญปฏิภาค รองอธิบดีสำนักข่าวกรองแห่งชาติ รวมแขกทั้งหมดในคืนนั้นกว่า 20 คน งานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในคืนนั้นไม่มีการแสดงที่หรูหราตระการตาใด ๆ

แต่ที่เป็นดาราชูโรงของงานก็คือ “ของกิน” ที่ส่วนหนึ่งท่านเจ้าของบ้านเป็นผู้ตระเตรียม รวมถึงที่ลงมือประกอบขึ้นเอง อย่างในคืนนั้นก็คือ ขาหมูแฮมเคลือบเกล็ดน้ำผึ้ง ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์สั่งขาหมูสดมาจากวิลล่ามาร์เก็ตไว้ล่วงหน้า 1สัปดาห์ แล้วเอามาแช่น้ำเกลือเข้มข้นไว้ 1 คืน ก่อนที่จะเอามาต้มและแช่ทิ้งไว้ในน้ำเกลือร้อน ๆ อีก 1วัน แล้วเอามาแขวนไว้ในที่ร่มอีก 1วัน ให้น้ำระเหยออกไปบ้าง ก่อนที่จะเอามาต้มกับน้ำผึ้งและสมุนไพร จำพวกใบกระวาน เมล็ดลูกจันทร์ และกานพลู ใช้ไฟอ่อน ๆ ให้น้ำผึ้งเกาะจับขาหมูเป็นเกล็ดวาว ๆ

เวลารับประทานก็หั่นเป็นชิ้นหนา ๆ จัดวางมาบนจานเปลขนาด 2 ศอก พร้อมผักดองนานาชนิด ที่ขาดไม่ได้ก็คือกระหล่ำปลีสับเป็นฝอยดองใส่เมล็ดพริกไทยแบบเยอรมันที่เรียกว่า ซาวเคร้าท์ อีกเมนูหนึ่งที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ทำเองก็คือสตูเนื้อแบบอังกฤษ ที่ต้องใช้เวลาปรุงข้ามวันข้ามคืน โดยใช้เนื้อส่วนหน้าท้องที่มีผังผืดหนา ๆ มาสับเป็นชิ้นพอคำ เคี่ยวข้ามคืนไว้ให้เปื่อยจนผังพืดนุ่ม แล้วจึงปรุงรสด้วยวู๊ดส์เตอร์ซ๊อส ที่คนไทยเรียกว่าซอสตรากระต่าย มีรสเปรี้ยวอมหวาน เติมเกลือกับพริกไทยและใบไทม์กับช่อโรสแมรี่ จากนั้นก็ใส่ผักนานาชนิด ที่เด่น ๆ ก็คือเซเลอรี่ก้านอวบ ๆ หั่นยาวสักครึ่งคืบ มันผรั่งสับครึ่งลูกขนาดกำปั้นเด็กเล็ก และหอมใหญ่ผ่าครึ่งซีก ผักทั้งหมดนี้ใส่แต่พอควร อย่าให้มากจนกลบชิ้นเนื้อ

จากนั้นที่พิเศษมาก ๆ ก็คือ ปั้นก้อน “ดัมพ์ปลิ้ง” หรือแป้งสาลีผสมใบพาสลี่ย์สับละเอียด ที่คนไทยเรียกว่าผักชีฝรั่ง เติมน้ำพอหมาด ๆ ให้ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว ใส่ลงไปในหม้อเนื้อและผักนั้น ต้มต่อไปสักครึ่งชั่วโมง เพื่อให้แป้งสุกและมีเนื้อแป้งบางส่วนถูกเคี่ยวออกมาผสมกับน้ำสตู จะทำให้สตูนั้นมีความเข้มข้นมากขึ้น เวลารับประทานก็เอาขนมปังก้อนแบบฝรั่งเศสอบร้อน ๆ ฝานมาวางไว้ข้าง ๆ ตักเนื้อ ผัก น้ำสตู และดัมพ์ปลิ้ง มาวางไว้บนจานให้คลายร้อน ก่อนที่จะเอาชิ้นขนมปังตักทั้งน้ำทั้งเนื้อและผักเป็นชิ้นพอคำเข้าปาก แล้วตามด้วยการตักแบ่งดัมพ์ปลิ้งให้พอดีช้อน รับประทานเอาความนุ่มลิ้นนุ่มคอ ตามส่วนผสมทั้งหลายของสตูอันแสนอร่อยนั้น สำหรับของหวานที่เป็นพิเศษในปีนั้นก็คือ “ฟรุตเค้ก” ที่มีวิธีทำแบบฝรั่งดั้งเดิมอย่างเต็มยศ คือต้องใช้ผลไม้เชื่อมหลายชนิด ที่ขาดไม่ได้ก็คือ องุ่น แอปเปิ้ลทั้งเขียวและแดง พลัม และมะเขือเทศลูกเล็กๆ รวมกับวอลนัตบดหยาบ ๆ

ทั้งหมดนี้เอามาหมักกับเหล้าหวาน ที่ฝรั่งเรียกว่าลิเคียวร์ ไว้สัก 2 คืน ก่อนที่จะเอามานวดผสมกับแป้ง ไข่ และเนย เพื่อทำให้เป็นก้อนเค้ก ซึ่งของฝรั่งแท้ ๆ แทบจะมองไม่เห็นแป้งเลย จึงดูเหมือนเป็นผลไม้นานาชนิดเหล่านั้นเกาะกันเป็นก้อนนุ่ม ๆ ก่อนที่จะเอาเข้าเตาอบเป็นเวลาพอสมควร แล้วก็ต้องเอาออกมาราดเหล้าหวานอีก 2-3รอบ แต่ละรอบต้องทิ้งไว้ให้เหล้านั้นซึมซาบเข้าไปในเนื้อผลไม้และเค้กรอบละ 1 คืน ดังนั้นเค้กก้อนหนึ่ง ๆ ก็ต้องใช้เวลาเกือบทั้งสัปดาห์เพื่อเอาไว้เลี้ยงในคืนเฉลิมฉลอง

ที่ผมพรรณาได้ละเอียด(แต่อาจจะไม่ครบถ้วนทั้งหมด)ก็เพราะในปีต่อ ๆ มาผมได้ช่วยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เตรียมอาหารจำพวกนี้หลายอย่าง แต่บางอย่างพอท่านทราบว่ามีของแท้ที่ฝรั่งทำมีขายในโรงแรมใหญ่ ๆ ท่านก็ให้คนไปซื้อมา รวมทั้งที่ลูกศิษย์บางคนที่ทราบว่าท่านชอบอาหารเพื่อการเฉลิมฉลองเหล่านี้ ก็พากันหามาช่วยมาเติม จนอาหารต่าง ๆ นั้นล้นหลาม บางปีก็ได้เอามทำกับข้าวกันอีกหลายมื้อ อย่างเช่นหมูแฮมอบน้ำผึ้งนั้นก็มีเหลือมาก ๆ ทุกปี เพราะแขกทุกคนก็ทานอย่างละนิดละหน่อย ด้วยอาหารที่มีสิบกว่าชนิด ขนมอีกเป็นสิบเหมือนกัน ผลไม้ ไวน์ และเหล้าชนิดต่าง ๆ ที่รับประทานกันไม่หวาดไม่ไหว ปกติที่บ้านท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จะทานไข่ดาวหมูแฮมในมื้อเช้าอยู่เป็นประจำ ดังนั้นหลังปีใหม่ที่บ้านสวนพลูจึงมีหมูหมูแฮมออกรสหวานหอมเจือเค็มปะแล่ม ๆ รับประทานกับไข่ดาวและขนมปังปิ้งมาอีกหลายมื้อ

จนกระทั่งปี 2524 ที่ท่านสร้างบ้านที่ริมแม่น้ำปิงเสร็จแล้ว ท่านก็ชวนญาติสนิทสมิตรสหายและคนใกล้ชิด มาร่วมปาร์ตีปีใหม่ที่บ้านเชียงใหม่นั้น ซึ่งก็ได้บรรยากาศที่สนุกสนานยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยอากาศที่นั่นค่อนข้างเป็นใจ แขกทุกคนจะใส่หมวกกระดาษสีสัน รวมทั้งตัวเจ้าของบ้านและสองสุนัขคู่ใจ “สามสี - เสือใบ” ก็ถูกจับใส่เครื่องประดับแบบนั้นเช่นกัน เนื่องจากบ้านที่เชียงใหม่เป็นบ้านแบบสวิสซ์ชาเล่ต์ มีเตาผิงขนาดพอควร จึงมีการประดับหน้าเตาไฟนี้ด้วยต้นสน ตกแต่งด้วยลูกบอล สายไฟกระพริบสลับสี และของขวัญแบบต้นคริสต์มาส ที่ข้างเตาผิงมีเครื่องเสียงญี่ปุ่นเปิดเพลงคริสต์มาสเบา ๆ สมัยนั้นยังเป็นแบบเทปคาสเส็ท ที่ต้องคอนเปลี่ยนตลับเป็นระยะ แต่บางทีก็ลืมเปลี่ยนเพลง เพราะแขกทุกคนคุยกันอย่างเพลิดเพลิน จนถึงเที่ยงคืนและประสานมือกันร้องเพลงโอลด์แลงซายน์แล้ว แขกที่มาจากบ้านอื่นก็ร่ำลาแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนคนที่พักที่บ้านริมปิงก็ฉลองกันไปจนนอนหลับไปที่หน้าเตาผิงนั้น

สุขศรีปีใหม่ โชคชัยสวัสดี มั่งมีและร่ำรวยความสุขทุกท่านครับ

******************************

ข่าวล่าสุด

ทบ. เผยโรงพยาบาล 20 แห่ง รพสต. 201 แห่ง ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ