ไทยจะอยู่ตรงไหน
โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
*****************
หลังจากไม่ได้เขียนมานานในเรื่องความเป็นไปในการเมืองระหว่างประเทศ ผู้เขียนและพรรคพวกได้ร่วมพูดกันอย่างไม่เป็นทางการในหลายประเด็นที่เกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะไทยถูกกดดัน บีบบังคับให้ต้องเลือกฝ่ายระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ในการเมืองระหว่างประเทศสำหรับทศวรรษต่อ ๆ ไป
บางคนบอกว่า จะสู้ก็สู้กันไป ทำไมต้องมาดึงไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะเกมนี้มีได้มีเสียไม่มากก็น้อย บางคนบอกว่า ไทยเอาตัวรอดมาได้ตลอดในความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจในอดีต ในครั้งนี้ ไทยก็คงเอาตัวรอดได้เช่นเคย บางคนตั้งคำถามว่า แล้วทำไมอเมริกาต้องกดดันบีบบังคับคนอื่นให้ทำตามผลประโยชน์ของตน บางคนเตือนว่า อย่าไปไว้ใจอเมริกาเพราะเราแทบจะเอาตัวไม่รอดมาแล้ว บางคนแย้งว่า ก็อย่าไปไว้ใจจีนเช่นกัน สรุปว่า ดีที่สุดคือเป็นมิตรกับทั้งสองฝ่าย แต่ก็มีคนแย้งว่า แต่เขาคงกดดันให้เราเลือกข้าง
เรื่องการเมืองระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่สลับซับซ้อนโดยมีผลประโยชน์ของชาติเป็นเดิมพัน ประเทศใหญ่ก็มีผลประโยชน์มาก ประเทศเล็กก็มีผลประโยชน์น้อย แต่เราจะประสานประโยชน์ด้อย่างไร พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ไทยก็ทำมาแล้วและเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง
ในการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศ ต้องศึกษาย้อนหลังกันไปหลายทศวรรษ จึงจะเข้าใจนโยบายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน บทความวันนี้อาจยาวสักหน่อย เพื่อให้รู้เบื้องหน้า เบื้องหลัง เหตุผลที่ว่าทำไมชาติหนึ่งต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
ฉากที่หนึ่ง
อเมริกาต้องเป็นหนึ่งในโลก อเมริกาต้องไม่เป็นที่สองรองใคร
นั่นเป็นผลประโยชน์สำคัญยิ่งแห่งชาติของอเมริกา ผู้นำอเมริกาทุกคนต้องรักษาปณิธานนี้ไว้ให้ได้ อย่างไรก็ดี การจะเป็นหนึ่งได้ ก็ต้องมีพวกมากที่สุดที่ให้การยอมรับว่า อเมริกาเป็นหนึ่งจริง ๆ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง อเมริกาเป็นชาติเดียวที่มีระเบิดปรมาณู ต่อมา มีนักวิทยาศาสตร์อเมริกันคนหนึ่ง ที่ได้สมญาว่า เป็น “สายลับปรมาณู” ขายความลับเกี่ยวกับการสร้างระเบิดปรมาณู ให้กับโซเวียด หลังจากถูกจับกุม สายลับคนนี้ได้เปิดเผยถึงมูลเหตุจูงใจว่า “ หากปล่อยให้ประเทศใดประเทศหนึ่งครอบครองระเบิดปรมาณูแต่ผู้เดียว โลกจะเป็นอันตราย ดังนั้น จึงควรมีตัวถ่วงเพื่อให้ได้ดุลกัน ไม่มีประเทศหนึ่งเดียวที่มีอาวุธปรมาณูและเที่ยวข่มขู่คุกคามคนทั่วโลก”
ต่อมา มีการพัฒนาระเบิดปรมาณูเป็นระเบิดนิวเคลียซึ่งมีอำนาจทำลายร้ายแรงกว่าหลายเท่า และมีการพัฒนาการนำส่งโดยไม่ต้องใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดแต่อย่างเดียว แต่มีขีปนาวุธที่สามารถยิงไปยังเป้าหมายได้ทั่วโลก
นอกจากอเมริกาและโซเวียดแล้ว อังกฤษ ฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ในกองกำลังนาโตก็สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียได้ ก็มาช่วยเสริมพลังของสหรัฐให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น
ทั้งสหรัฐและนาโต กับโซเวียด ต่างแข่งกันผลิตอาวุธนิวเคลียและจรวดนำส่งจนสามารถส่งไปทำลายได้ทุกจุดบนโลกนี้ เท่ากับเป็นการถ่วงดุลกัน ไม่ให้มีใครลงมือก่อน เพราะใครเริ่มก่อน ก็มีสิทธิถูกตอบโต้ ผลก็คือ แพ้ด้วยกันทั้งคู่ อาวุธนิวเคลียที่มีอยู่สามารถถล่มโลกทั้งใบให้พินาศฉิบหายกันทั้งสองฝ่าย อาวุธนิวเคลียจึงเป็นการถ่วงดุล และป้องปรามคุมเชิง ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อาวุธนิวเคลีย
ตรงกับเจตนารมณ์ของ “สายลับปรมาณู” ขาวอเมริกันดังกล่าวข้างต้น
เวลานี้มีหลายชาติที่ครอบครองอาวุธนิวเคลีย ทั้งจีน อินเดีย ปากีสถาน แม้แต่เกาหลีเหนือยังมีอาวุธนิวเคลียและจรวดนำส่งที่มีอานุภาพ จนผู้นำอเมริกาตกใจเพราะเกรงว่า “เด็กน้อย” คนนี้ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะพอจะสนุกกับการใช้อาวุธนิวเคลียจนเกินเหตุ
มีข่าวว่า เวลานี้ชาติอภิมหาอำนาจสามารถทางทหารสามารถยิงแสงเลเซอร์จากดาวเทียมมาทำลายเป้าหมายบนโลกได้ และใช้จรวดยิ่งทำลายดาวเทียมที่โคจรอยู่ในอวกาศได้แล้ว
อาวุธนิวเคลียจึงเป็นเครื่องมือสนับสนุนผลประโยชน์และนโยบายทางการเมืองของชาติมหาอำนาจเท่านั้น และใช้บลั๊ฟกันเท่านั้น แต่ก็ต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุ ที่คู่กรณีหาทางป้อมกันไว้แล้ว
ฉากที่สอง
หลังสหภาพโซเวียดล่มสลาย จีนก็ยังไม่พัฒนา อเมริกากลายเป็นมหาอำนาจผุ้ยิ่งใหญ่ในโลกแต่ผู้เดียว ที่สามารถกำหนดกฎกติกาต่าง ๆ ในโลกได้เช่น กฎกติกายุคโลกาภิวัฒน์ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่อเมริกา มีคนเรียกอเมริกาขณะนั้นว่า “เอกอัครอภิมหาอำนาจของโลก”
แต่กลุ่มก่อการร้ายอาหรับกลุ่มเล็ก ๆ ก็สามารถทำให้อเมริกาขายขี้หน้าไปทั่วโลกเมื่อสหรัฐซึ่งไม่เคยมีข้าศึกบุกโจมตีถึงแผ่นดินใหญ่มาก่อนทั้งในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และครั้งที่สอง แต่ถูกคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งเข้ามาโจมตี “เชิงสัญลักษณ์” ถึงใจกลางประเทศ เท่ากับเป็นการตบหน้าอเมริกาอย่างแรง
เอกอัครอภิมหาอำนาจเช่นอเมริกันต้องยุ่งอยู่กับการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย ส่งทหารไปบุกและยึดอิรัก ซึ่งคุ้มกับการลงทุน เพราะบุชเป็นนักธุรกิจค้าน้ำมันรายใหญ่ ไปยุ่งในอัฟกานิสถาน (ซึ่งเคยทำให้สหภาพโซเวียดพังมาแล้ว ) และสหรํฐต้องตาลีตาเหลือกถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานแทบไม่ทัน ) สู้กับอิหร่านที่ยึดสถานทูตอเมริกันและคุมตัวนักการทูตอเมริกันไว้หลายเดือน ( ปฏิบัติการแย่งชิงเชลยอเมริกันจากอิหร่าน แต่ต้องหนีพายุทะเลทรายกลับบ้านอย่างหมดท่า ) วุ่นวายกับการตามไล่ล่าสังหารอูซามะ บิน ลาเดน ที่ปากีสถานแอบนำไปซ่อนตัวไว้ในเขตปากีสถานโดยไม่บอกให้สหรัฐทราบ ในเอเชีย หากจับนายฮัมบาลีไม่ได้ คนอเมริกันอีกมากมีสิทธิตาย
ฉากที่สาม
เพราะมีภารกิจเร่งด่วนมัวไปยุ่งอยู่กับการปราบปรามผู้ก่อการร้ายอาหรับในตะวันออกกลาง อัฟกานิสถาน และทั่วโลก พอหันกลับมาดูเอเชียอีกที ปรากฏว่าจีนเติบใหญ่แข็งแรงทั้งด้านการทหาร เศรษฐกิจ เทคโนโลยี ที่ก้าวหน้าชนิดหายใจรดต้นคออเมริกา เศรษฐกิจจีนบางอย่างกำลังจะทันและแซงอเมริกา เทคโนโลยีสารสนเทศก็ก้าวหน้าไปไกล บารมีของจีนในภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โครงการ “เส้นทางสายไหมใหม่” ทั้งทางบกและทางน้ำก้าวรุดหน้าจนเป็นที่อัศจรรย์
เรื่องแบบนี้ ผู่นำอเมริกันยอมไม่ได้ คนอเมริกันก็ยอมไม่ได้
ผู้นำสหรัฐต้องหันกลับมาสนใจและวางมาตรการอย่างเร่งด่วนต่อต้านการขยายอิทธิพลของจีนภายใต้การนำของสีจิ้นผิง ในขณะที่ในยุโรป รัสเซียภายใต้การนำของปูตินได้ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ส่วนด้านการทหารนั้นไม่ต้องพูดถึง เมื่อสีจิ้นผิงและปูตินจับมือกันต่อต้านการกลับคืนอิทธิพลของสหรัฐ ทำให้สหรัฐต้องปรับยุทธศาสตร์กันใหม่ ดึงอินเดียซึ่งมีปัญหาพรมแดนกับจีน ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรดั้งเดิมและกลัวจีนอยู่แล้ว มาเป็นพันธมิตรสกัดกั้นการเติบโตของจีน
ล่าสุด สหรัฐได้ดึงพันธมิตรดั้งเดิม คือ อังกฤษ (ซึ่งอิทธิพลลดถอยลงไปทุกที) ออสเตรเลีย (ซึงเคยได้รับสมญาจากผู้นำสหรัฐว่า เป็นผู้ช่วยนายอำเภอ โดยมีสหรัฐเป็นนายอำเภอ ) และสหรัฐ ( แก๊งแองโกล แซ็กซอน ) มาร่วมมือต่อต้านการขยายอิทธิพลทางทะเลของจีนในแปซิฟิก ที่กองเรือที่ 7 ของสหรัฐเคยครองน่านน้ำมานับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ฉากที่สี่
เผลอไปไม่กี่สิบปี จีนเติบโตเป็นยักษ์ใหญ่ขยายอิทธิพลเหนือประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างน้อยก็มีความผูกพันในผลประโยชน์ด้านการค้า อาจกล่าวได้ว่าทุกหรือเกือบทุกประเทศในภูมิภาคนี้ได้ ( แม้แต่ออสเตรเลีย พันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐ ) ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการส่งออกไปยังจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่มาก
ในเวลาสิบกว่าปีที่ผ่าน จีนได้ท้าทายพลังอำนาจและอิทธิพลของสหรัฐในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ที่กองเรือที่ 7 ควบคุมอยู่นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา โดยเฉพาะช่องแคบรอยต่อระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย เมื่อจีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้บางส่วน ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ทั้งในยามสันติและยามสงคราม เส้นทางขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางมายังญี่ปุ่น และเป็นเส้นทางการค้าสำคัญ โครงการเส้นทางสายไหม
เพราะไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สหรัฐเคยใช้ในการต่อต้านการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้ซึ่งอเมริกันแพ้อย่างไม่เป็นท่ามาแล้วในสงครามอินโดจีน อยู่ ๆ ก็หนีพันธมิตรที่ร่วมหัวจมท้ายไปดื้อ ๆ จนคนไทยจำไม่รู้ลืม คราวนี้อเมริกันมาใหม่ หวังจะใช้ไทยเป็นฐานสกัดกั้นอิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้ ไปหาคนอื่นเขาก็ไม่เอาด้วย เช่น เวียดนาม ลาว กัมพูชา มาเลเซีย พม่า ที่ยังพอพูดกันได้ก็มีฟิลิปปินส์ ลูกน้องเก่าแก่ และที่เปิดตัวล่มหัวจมท้ายกับสหรัฐก็มีสิงคโปร์ ซึ่งไม่มีกำลังอะไร มาเลเซียก็ไม่เอาด้วย เช่นเดียวกับอินโดนีเซียที่วางตัวเป็นกลาง เพราะประเทศอาเซียนเหล่านี้มีผลประโยชน์มากมายกับจีนไม่แพ้กับอเมริกัน
สิ่งท้าทายเวลานี้ ไม่ใช่เรื่องการต่อต้านการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์เหมือนสมัยก่อน ที่อเมริกันที่อเมริกันถอนทหารออกจากเวียดนามอย่างไม่เป็นท่า ทิ้งให้พันธมิตรสู้กับชะตากรรมของตนอย่างเดียวดาย ในขณะที่ไทยถูกชักนำและชี้นำให้สู้กับการขยายตัวของคอมมิวนิสต์จีน แต่กลับกลายเป็นคอมมิวนิสต์จีนที่ช่วยรักษาเอกราชอธิปไตยของไทยไว้จากการคุกคามของเวียดนาม
สหรัฐพยายามดึงเวียดนามที่มีความขัดแย้งในอาณาเขตน่านน้ำกับจีนมาเป็นพันธมิตร แต่ผู้นำและคนเวียดนามทุกคนคงไม่ลืมความหฤโหดของอเมริกนในสมัยสงครามเวียดนาม
ฉากที่ห้า
แล้วไทยจะไปทางไหน จะร่วมมือกับอเมริกันขัดขวางการขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้ หรืออยู่ฝ่ายจีนในการต่อต้านการเข้ามามีอิทธิพลของอเมริกันในไทยอีก ไทยลืมไปแล้วหรือว่า ปี 2518 เมื่ออเมริกันหนีจากเวียดนาม อะไรเกิดขึ้นในไทย และลืมไปแล้วหรือว่า ใครช่วยให้เราพ้นจากภัยคุกคามจากทหารเวียดนามในกัมพูชา
กลายเป็นว่า คอมมิวนิสต์จีนซึ่งเรากลัวมากที่สุด กลับมาช่วยไทยอธิปไตยของชาติไว้ได้
เวลาผ่านไปสี่สิบกว่าปี คนไทยคงไม่ลืมว่า คนที่เราต่อต้านมากที่สุด กลัวมากที่สุด มองว่าเป็นสัตรู กลับมาช่วยเราให้พ้นจากการจมน้ำ ในขณะที่คนที่เราคิดว่าเป็นมิตรสนิทกลับปล่อยให้เราจมน้ำตาย เวลานี้ คนหลังนี้กำลังมาชวนให้เราต่อต้านเพื่อนยามยากคนแรก
ไทยมีผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การเมือง กับทั้งสหรัฐและจีน เราไม่สามารถทิ้งฝ่ายหนึ่งมาเข้าข้างกับอีกฝ่ายได้ ไทยมีนโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศ ทั้งกับสหรัฐและจีน แต่สหรัฐพยายามกดดันให้เราเลือกข้าง ซึ่งไทยเลือกไม่ได้ หากต้องเลือกก็เลือกเพื่อนทั้งสอง
ฉากที่หก
อะไรจะเกิดขึ้นหากเราเลือกคบกับทั้งสหรัฐและจีน ในฐานะมิตร โดยเฉพาะหากไทยยังมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับจีน ซึ่งมีมาแล้วตั้งแต่ระดับบนสุดจนถึงระดับประชาชน คาดกันว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องเผชิญก็คือ
1.รัฐบาลไทยปัจจุบันจะถูกกดดันอย่างมาก การเคลื่อนไหวของขบวนการประชาชนโดยการสนับสนุนของสหรัฐจะมีมากขึ้น องค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก เอ็น.อี.ดี.จะเคลื่อนไหวมากขึ้นในประเด็นการเมือง สิทธิมนุษยชน การแก้ไขมาตรา 112 ฯลฯ
2.สหรัฐไม่สนใจว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล จะดีชั่วอย่างไร ขออย่างเดียวให้สนับสนุนนโยบายของสหรัฐในภูมิภาคนี้ในการต่อสู้กับอิทธิพลของจีน
3.รัฐบาลจะถูกกดดันอย่างมากจากทั้งในสภาและนอกสภา โดยเฉพาะความพยายามกำจัดอำนาจของวุฒิสมาชิกในการเลือกนายกรัฐมนตรีตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญปี 2560 ก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2565
4.สถาบันสูงสุดจะถูกท้าทายมากยิ่งขึ้น บรรยากาศทางการเมืองจะแตกต่างจากช่วงปี 2516-2519 ซึ่งเป็นการต่อสู้ด้านลัทธิทางการเมือง ระหว่างลัทธิประชาธิปไตย กับ ลัทธิ คอมมิวนิสต์ แต่วันนี้จะเป็นบรรยากาศการต่อสู้ระหว่างฝ่ายล้มเจ้ากับฝ่ายรักษาสถาบันกษัตริย์ สร้างความขัดแย้ง และความเกลียดชังระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่
5.จะมีการชุมนุม ประท้วง สร้างประเด็นเพื่อหล่อเลี้ยงบรรยากาศของความขัดแย้งไปเรื่อย ๆ และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการปล่อยข่าวเท็จ สร้างข่าวลวง ให้ประชาชนหลงเชื่อ เพื่อสะสมกำลังไปทีละน้อย
ดังนั้น เราไม่ต้องกังวลหากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่เชิญไทยเข้าร่วมประชุมประเทศประชาธิปไตย เพราะนั่นเป็นการประชุมทางการเมือง ฝรั่งจะกล่าวหาว่า ไทยไม่เป็นประชาธิปไตย (แบบฝรั่ง) ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็เป็นประชาธิปไตยแบบไทย ๆ เช่นนี้ อย่างน้อย ก็ไม่มีการโกงกินอย่างมโหฬารดังเช่น “ประชาธิปไตยกินได้”
ส่วนประชาธิปไตยแบบจีน ๆ ก็สามารถทำให้คนหลายร้อยล้านคนพ้นจากความยากจนได้ และบ้านเมืองสงบเรียบร้อย เศรษฐกิจพัฒนารวดเร็วแซงหน้าประชาธิปไตยแบบฝรั่ง ๆ ไปไม่น้อยทีเดียว


