posttoday

ติดตามเงินเฟ้อสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจจีน

09 สิงหาคม 2564

การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ายังคงเป็นความเสี่ยงและปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ที่มีผลกระทบกับค่าเงินบาทไทย

คอลัมน์ มันนี่วีก (Money…week) โดย...กฤติกา บุญสร้าง, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.10-33.60 ในสัปดาห์นี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ายังคงเป็นความเสี่ยงและปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ล่าสุดหลายประเทศทั่วโลกกลับมาประกาศใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด และเริ่มออกมาตรการกึ่งบังคับให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีน สำหรับประเทศไทย อัตราการติดเชื้อยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่แย่ลงด้านต่างประเทศ ประเด็นที่น่าสนใจคือตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลถึงการดำเนินนโยบายของเฟด โดยตลาดคาดว่าเงินเฟ้อจะชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า รวมถึงสหรัฐฯ จะมีการประกาศดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนด้วย สำหรับทางฝั่งเอเชีย ตัวเลขเศรษฐกิจจีนเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม โดยจีนจะประกาศตัวเลขสำคัญ ได้แก่ เงินเฟ้อ ดัชนีราคาผู้ผลิต ดุลการค้า ปริมาณเงินในระบบ และยอดการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ ตลาดคาดการณ์ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจีนจะชะลอลง ภายหลังจากที่เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวสูงแบบ V-shaped ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนจะประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ทั้งนี้ ญี่ปุ่นจะมีการประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตและดุลการชำระเงินในสัปดาห์นี้ด้วย

ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงวันที่ 2-6 สิงหาคม 2564 เงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว โดยอ่อนค่า 1.54% จากสัปดาห์ โดยเงินบาทอ่อนค่าไปอยู่ที่ระดับสูงสุดตั้งแต่กลางปี 2018 ตามความกังวลต่อการระบาดของโควิด-19 โดยจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายวันเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดใหญ่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ที่ประชุม กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ครั้งแรกตั้งแต่พฤษภาคม 2020 โดยให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ด้วยมติ 4 ต่อ 2 เสียง และมีคณะกรรมการลา 1 ท่าน เพิ่มความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระยะข้างหน้า อีกทั้งยังปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงเหลือ 0.7% ในปีนี้ และ 3.7% ในปีหน้า โดยลดคาดการณ์การบริโภคเอกชนและประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยในปีนี้เพียง 1.5 แสนคน จากเดิมที่คาด 7 แสนคน ปัจจัยดังกล่าวทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ด้านตัวเลขเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อไทยในเดือนกรกฎาคมลดลงมาอยู่ที่ 0.45%YoY (-0.12%MoM) จาก 1.25%YoY ในเดือนมิถุนายน และต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 0.88%YoY อีกทั้งเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงมาอยู่ที่ 0.14%YoY ในเดือนกรกฎาคม จาก 0.52%YoY ในเดือนก่อนหน้า น้อยกว่าคาดการณ์ที่ 0.21%YoY เช่นกัน เนื่องจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงและการล็อกดาวน์ อกีทั้งมาตรการช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าเล่าเรียนยังทำให้เงินเฟ้อลดลง ในขณะที่ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูงเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าในสัปดาห์ที่ผ่านมายังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เงินบาทอ่อนค่าลงด้วย โดยสมาชิกเฟดหลายท่านที่เคยสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน กลับมีท่าทีสนับสนุนการลดขนาดมาตรการคิวอีและเริ่มการขึ้นดอกเบี้ย โดยเฉพาะความเห็นของรองประธานเฟด ริชาร์ด คาริด้า ที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวได้ตามเป้าหมายภายในสิ้นปี 2022 นำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ยในปี 2023 นอกจากนี้ คาริด้ายังมองว่าความเสี่ยงของเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงและคาดถึงการประกาศลดคิวอีภายในปีนี้ ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยในมีนาคม 2023 จากเดิมที่มิถุนายน 2023

เงินบาทปิดตลาดที่ 32.357 ในวันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2564 ณ เวลา 17.35 น.

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ อายุ 10ปี เคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน โดยพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ อายุ 10ปี ปรับตัวลดลงทดสอบแนวต้านที่เคยทำไว้ในวันที่ 20 ก.ค. 64 แถวบริเวณ 1.12% ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 7 เดือนที่ผ่านมาจากปัจจัยหนุนที่เอดีบีรายงานว่าการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 3.3 แสนตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม น้อยกว่าคาดการณ์ที่ 6.53 แสนตำแหน่ง แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน อย่างไรก็ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ อายุ 10ปี ก็ตีกลับมาเพิ่มขึ้นเกือบ 10 bps อย่างรวดเร็วภายหลังจากที่มีการประกาศตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการของสหรัฐฯ โดยไอเอสเอ็มในเดือนกรกฎาคมพุ่งสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 64.1 สูงกว่าคาดการณ์ที่ 60.5 รวมไปถึงความเห็นที่ออกมาในโทน Hawkish จากรองประธานเฟด ริชาร์ด คาริด้า ที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวได้ตามเป้าหมายภายในสิ้นปี 2022 นำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ยในปี 2023 นอกจากนี้คุณคาริด้ายังมองว่าความเสี่ยงของเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงและคาดว่าการประกาศลดคิวอีจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ จะสังเกตุได้ว่าทุกการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญ การเคลื่อนไหวของพันธบัตรรัฐบาลจะค่อนข้างผันผวนเพราะตัวเลขที่จะประกาศออกมาในเดือนนี้ล้วนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางของการดำเนินนโยบายทางการเงินของเฟดที่จะมีขึ้นในครั้งถัดไปในเดือนกันยายนนั้นเอง

สำหรับไฮไลท์สำคัญภายในประเทศอยู่ที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยที่มีคงอตัราดอกเบี้ยนโยบาย ด้วยมติ 4 ต่อ 2 เสียง และมีคณะกรรมการ 1 ท่านไม่ได้เข้าประชุม ซึ่งการที่มีคณะกรรมการถึง 2 ท่านลงความเห็นให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับถ้าหากสถาการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่สามารถควบคุมได้โดยเร็ว จะยิ่งเพิ่มโอกาสของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมที่จะเกิดขึ้นครั้งถัดไปในช่วงปลายเดือนกันยายน จึงทำให้เห็นแรงเข้าซื้อในตลาดพันธบัตรรัฐบาลตลอดช่วงอายุ ส่งผลให้ ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2564 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.47% 0.47% 0.52% 0.70% 1.03% และ 1.50% ตามลำดับ

ติดตามเงินเฟ้อสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจจีน

กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยมูลค่าสุทธิประมาณ 12,556 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 5,182 ล้านบาท ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 8,279 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 905 ล้านบาท

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมบอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ผลบอลสด วันอังคารที่ 23 ธ.ค. 68