posttoday

รอติดตามตัวเลขการส่งออกของไทยตามระบบศุลกากร

24 พฤษภาคม 2564

คอลัมน์ มันนี่วีคก (Money… week) โดย...พีรพรรณ สุวรรณรัตน์, มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย

สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.20-31.50 ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนยังคงติดตามแนวโน้มการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ในหลายๆ ประเทศ รวมทั้งความรวดเร็วในการฉีดวัคซีน ด้านตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ จีนจะมีประกาศกำไรของภาคธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะขยายตัวสูงต่อเนื่องในเดือนเมษายน แต่มีแนวโน้มชะลอลงจากเดือนก่อน ขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐฯ จะชี้ให้เห็นว่า ภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ ด้านนโยบายการเงิน ธนาคารกลางอินโดนีเซียมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันอังคารนี้ ส่วนตลาดรอติดตามการประกาศตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจจากธนาคารกลางเกาหลีใต้ ในการประชุมนโยบายการเงินวันพฤหัสบดีนี้ ด้านไทย กระทรวงพาณิชย์จะมีประกาศตัวเลขการส่งออกตามระบบศุลกากรในวันอังคารด้วย ซึ่งตลาดประเมินว่าการส่งออกจะขยายตัวเร่งขึ้นในเดือนเมษายนนี้ภาพรวมตลาดอัตราแลกเปลี่ยนในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนอย่างมาก โดยอยู่ในช่วง 31.30-31.55 เงินบาทเปิดตลาดแข็งค่า ตามเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ออกมาอ่อนแอ

ในช่วงกลางสัปดาห์เงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว หลังจากรายงานการประชุมของเฟดเปิดเผยว่า มีคณะกรรมการหลายท่านเสนอให้เตรียมหารือ การลดขนาดมาตรการซื้อสินทรัพย์ในการประชุมครั้งถัดๆ ไป ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งขึ้น และเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น

อีกทั้งรายงานการประชุมของ กนง. ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวช้ากว่าเดิม โดยปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนด้านภาครัฐสูงขึ้น หลังจากคณะรัฐมนตรีเปิดเผยผลการประชุมลับว่า รัฐบาลจะกู้ออกเพิ่มอีก 7 แสนล้านบาทเพื่อใช้สำหรับโควิด-19 ไปจนถึงปีงบประมาณ 2022 โดยออกเป็น พ.ร.ก. กู้เงินอีก 1 ฉบับ ทำให้ประชาชนรอรายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งนี้ ในเบื้องต้น ร่าง พ.ร.ก. นี้จะแบ่งการใช้จ่ายออกเป็น 3 ส่วน คือ ด้านสาธารณสุข อาทิ วัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 3 หมื่นล้านบาท เงินเยียวยาผลกระทบ 4 แสนล้านบาท และที่เหลือ 2.7 แสนล้านบาทเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม อย่างไรก็ตาม เงินบาทกลับแข็งค่าลงเล็กน้อยในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ หลังจากความกังวลต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ค่อยผ่อนคลายลง และทำให้เงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลง

ด้านเงินทุนเคลื่อนย้าย แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอจากการะบาดรอบใหม่ ทำให้มีเงินทุนไหลออกจากไทยตลอดทั้งสัปดาห์ทั้งจากตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ระหว่างวันที่ 17-20 พฤษภาคม มีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้น 6.2 พันล้านบาท และจากตลาดตราสารหนี้ 1.46 หมื่นล้านบาท ทำให้เงินบาทปิดตลาดที่ 31.37 ในวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564 เวลา 17.00 น.

ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสหรัฐฯ อายุ 10ปี ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1.60-1.70% โดยมีประเด็นสำคัญในช่วงกลางสัปดาห์คือการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27-28 เมษายน ที่ชี้ว่าคณะกรรมการบางท่านเสนอให้เริ่มหารือการลดขนาดมาตรการคิวอีในการประชุมครั้งถัดๆ ไป หากเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าใกล้เป้าหมาย ซึ่งรายงานการประชุมดังกล่าวได้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดบริเวณใกล้เคียง 1.70% อย่างไรก็ตามพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10ปี ก็ยังไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1.70% ไปได้ และย่อตัวลงมาเคลื่อนไหวในกรอบ โดยหลังจากนี้นักลงทุนคงต้องติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขภาคแรงงานที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการดำเนินงานของเฟด รวมไปถึงกำหนดทิศทางของตลาดพันธบัตรรัฐบาลในระยะต่อไป

สำหรับความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของไทย มีปัจจัยเฉพาะอยู่ที่การอนุมัติร่าง พ.ร.ก. กู้เงิน 7 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในมาตรการที่เกี่ยวกับโควิด-19 ซึ่งการกู้เงินเพิ่มเติมของรัฐบาลต้องมีบางส่วนกระทำผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการเพิ่ม supply ในระบบ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวสูงขึ้น โดย ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2564 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.46% 0.53% 0.66% 1.07% 1.45% และ 1.86% ตามลำดับ

กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมมูลค่าสุทธิประมาณ 13,330 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 5,161 ล้านบาท ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 8,159 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 10 ล้านบาท

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมบอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ผลบอลสด วันพุธที่ 24 ธ.ค. 68