posttoday

จับตากลยุทธ์เลือกตั้งสหรัฐฯ ในโค้งสุดท้าย

26 สิงหาคม 2563

คอลัมน์ ตลาดนัดการเงิน โดย...กฤษณ์ ประพฤทธิ์วงศ์ ผู้เชี่ยวชาญงานส่งเสริมการลงทุนลูกค้าอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย

ท่ามกลางวิกฤติที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน และมีภาวะโรคระบาดเข้ามากดดันให้เศรษฐกิจโลกถดถอย การเลือกตั้งของสหรัฐฯครั้งนี้ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจจึงเป็นที่จับตามองของผู้คนทั่วโลก โดยการเลือกตั้งสหรัฐฯจะมี 2 พรรคใหญ่ที่เป็นตัวแทนของประชาชนสหรัฐฯ คือ พรรคเดโมแครต นำโดย นายโจ ไบเดน ส่วนพรรคริพับลิกัน นำโดย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในครั้งที่แล้วโดยชูจุดแข็งในเรื่อง การทำให้สหรัฐฯกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หรือ “Make American great again”

นโยบายหาเสียงของพรรคใดน่าสนใจกว่า

กลยุทธ์ของทั้งสองพรรคต้องหาแนวทางในการชิงเหลี่ยมเพื่อให้ได้คะแนนความนิยมจากประชาชนสหรัฐฯมากที่สุดในโค้งสุดท้าย ซึ่งนโยบายทั้งสองพรรคส่งผลต่อทั้งประชาชนในสหรัฐฯเองและส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกด้วย เนื่องจากสหรัฐฯเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยบทบาทผู้นำของสหรัฐฯต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศย่อมส่งผลต่อบรรยากาศการค้าขายหรือการลงทุนระหว่างประเทศ

• พรรคเดโมแครต เป็นพรรคผู้ท้าชิง กลยุทธ์ของพรรคจะเน้นไปที่กลุ่มประชากรที่เป็นฐานผู้ใช้แรงงานและชนชั้นกลาง โดยชูนโยบายในการใช้ความพยายามเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การต่อต้านการผูกขาดของธุรกิจในกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงการขึ้นภาษีของนิติบุคคลกลับไปที่ 28% เพื่อให้รัฐบาลสามารถนำรายได้จากภาษีกลับมาพัฒนาประเทศและเพิ่มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงดูแลสวัสดิการของประชาชนให้ดีขึ้น สนับสนุนการจ้างงาน และ สนับสนุนแนวทางของผู้ประกอบการในการรักษาสิ่งแวดล้อม

• พรรคริพับลิกัน โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีนโยบายในการสนับสนุนธุรกิจภาคเอกชน โดยเชื่อว่าหากภาคเอกชนเข้มแข็งธุรกิจก็จะเติบโตและจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดการจ้างงาน และ ทำให้สหรัฐฯกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยนโยบายที่เป็นจุดเด่น คือ การคงภาษีนิติบุคคลไว้ในระดับต่ำที่ 21% สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยี และไม่มีนโยบายในการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึงไม่มีท่าทีในการให้ความร่วมมือกับนานาชาติในการรักษาสิ่งแวดล้อม นโยบายส่วนใหญ่จะเป็นไปเพื่อผู้ประกอบการและรักษาผลประโยชน์ของบริษัทสหรัฐฯเป็นสำคัญ

แม้โพลชี้ทรัมป์ถูกทิ้งห่างแต่ยังมีโอกาสพลิกชนะได้

การสำรวจความนิยมล่าสุดในเดือน ก.ค. นาย โจ ไบเดน ได้รับคะแนนความนิยมเหนือกว่า ทางโดนัลด์ ทรัมป์เนื่องจากสถานการณ์ของโรคระบาดที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯมีความรุนแรงจนมีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 5 ล้านคน และ มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1.5 แสนคน ทำให้นาย โดนัล ทรัมป์ ถูกวิพากวิจารณ์อย่างมากที่ไม่รณรงค์ให้ ประชาชนของสหรัฐฯใส่หน้ากากในที่สาธารณะ รวมถึงเกิดเหตุการณ์รุนแรงภายในประเทศจากกรณีการออกมาประท้วงของประชาชนจากการทำร้ายชายผิวสีที่เป็นพลเมืองสหรัฐฯจากเจ้าหน้าที่รัฐเอง ขณะที่ทางนายโจ ไบเดน พยายามที่จะชูภาพของการป้องกันตนเองในที่สาธารณะและรณรงค์ให้ภาครัฐให้ความสนใจกับความรุนแรงของโรคระบาดที่จะมีผลต่อชาวสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องของมาตรการการเยียวยาผู้ว่างงานที่ได้รับผลจากการปิดสถานประกอบการ โดยรัฐได้จ่ายเงินผู้ว่างงานเป็นจำนวนเงิน 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสัปดาห์ ซึ่งนายโจ ไบเดน ได้ยืนยันที่จะสนับสนุนให้เงินแก่ผู้ว่างงานไปจนถึงสิ้นปี ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ไม่เห็นด้วยและอยากให้ลดหรือยกเลิกเงินจำนวนดังกล่าวออกไป จนท้ายที่สุดจำนวนเงินถูกลดลงมาเหลือที่ 400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ สัปดาห์ ทำให้นายโจ ไบเดนได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นจากภาพลักษณ์ที่อยู่ข้างประชาชนในช่วงเวลาที่ประชาชนลำบาก

สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญหากทรัมป์จะพลิกกลับมาชนะเลือกตั้ง

ด้วยสถานการณ์ที่ทางพรรคริพับลิกันตกเป็นรอง จึงทำให้ทีมงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และหาแนวทางใหม่ๆ ในการที่จะเรียกคะแนนเสียงให้กลับมาในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง โดยพยายามรักษาจุดแข็งที่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ทำได้ดีคือ ความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่มีภาคเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง และทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นสูงแม้ประเทศจะอยู่ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส ทำให้ประชาชนสหรัฐฯรู้สึกมั่งคั่งขึ้นจากตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งสวนทางกับพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตามการที่ไม่สามารถคุมโรคระบาดได้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ประชาชนสหรัฐฯ ไม่เชื่อมั่นในผู้นำส่งผลให้คะแนนความนิยมของนายโดนัลด์ ทรัปม์ ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

ทีมงานของ โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อการควบคุมโรค โดยพุ่งเป้าไปที่การทำสัญญาเพื่อซื้อวัคซีนกับบริษัทผู้พัฒนาวัคซีนสหรัฐฯ ถือเป็นการสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนสหรัฐฯ นอกจากนี้ ทางนายโดนัลด์ ทรัมป์ เลือกที่จะดึงความสนใจของชาวสหรัฐฯ จากโรคระบาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ไปสู่การสร้างกระแสชาตินิยม โดยพุ่งเป้าไปที่การกล่าวหาว่าจีนเป็นต้นตอของโรคระบาดทั่วโลกและทำให้ธุรกิจของสหรัฐฯได้รับความเสียหาย และยังเพิ่มความเข้มข้นต่อนโยบายของบริษัทจีนที่ทำธุรกิจในสหรัฐฯ โดยกล่าวหาบริษัทเทคโนโลยีจีน เช่น Tiktok และ Wechat ว่าเป็นภัยต่อความมั่งคงของสหรัฐฯโดยสามารถที่จะดึงข้อมูลเพื่อส่งกลับไปประเทศจีน ซึ่งทาง โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ออกคำสั่งมิให้บริษัทสหรัฐฯทำธุรกรรมใดๆ กับบริษัทแม่ ByteDance ที่เป็นเจ้าของ TikTok และ Tencent ที่เป็นเจ้าของ WeChat ภายใน 45 วัน

วางแผนการลงทุนอย่างไรในช่วงเลือกตั้ง

การด่วนสรุปว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนถัดไป อาจจะเป็นเรื่องที่ถือว่าเร็วเกินไปเพราะในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาผลการเลือกตั้งก็มักจะพลิกโผในนาทีสุดท้าย ขณะที่ด้านการลงทุนก็เริ่มจะเห็นความชัดเจนที่เพิ่มขึ้นในหลายๆ ด้าน อาทิเช่น แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศเอเชียที่เร็วกว่าจากการควบคุมสถานการณ์ผู้ติดเชื้อได้ดีโดยเฉพาะประเทศจีน และ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคจากภาวะโรคระบาดที่เกิดขึ้น เช่น การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การหลีกเลี่ยงไปที่ชุมชน การใช้เวลาการทำงานที่บ้าน รวมถึงความต้องการวัคซีนเพื่อหยุดภาวะโรคระบาด ทำให้บางบริษัทได้รับผลประโยชน์จากแนวโน้มพฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้น เช่น บริษัทพัฒนาวัคซีน บริษัทที่ทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งคาดว่าหลังจากการเลือกตั้งการลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชีย และ การลงทุนที่เกี่ยวกับเทคโนโนโลยีที่สอดคล้องไปกับแนวโน้มพฤติกรรมใหม่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี

ความผันผวนระยะสั้นของตลาดทุนจากท่าทีของผู้นำสหรัฐฯซึ่งเป็นมหาอำนาจของโลก ที่ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง อาจทำให้พอร์ตนักลงทุนที่ลงทุนในกลุ่มหุ้นเอเชียอยู่แล้วมีความผันผวนในระยะสั้น แต่จากแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ความผันผวนดังกล่าวจะเป็นจังหวะให้นักลงทุนที่เชื่อมั่นในการลงทุนระยะยาวกับกลุ่มประเทศเอเชียหรือบริษัทที่มีสินค้าและบริการที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี สามารถที่จะมีจังหวะในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่ดีของพอร์ตการลงทุนในระยะยาวเช่นเดียวกัน

ข่าวล่าสุด

เลือกตั้ง69 : กกต.ปรับจุดเปิดรับสมัคร สส.ชายแดนไทยกัมพูชาปลอดภัยเรียบร้อยดี