ติดตามตัวเลขจีดีพีของจีนไตรมาสที่ 1
คอลัมน์ มันนี่วีก (Money week) โดย...สรรค์ อรรถรังสรรค์มนัสวิน ฐิติสมบูรณ์ สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย
สายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่าเงินบาทผันผวนสูงต่อเนื่อง โดยอยู่ในกรอบ 32.50-32.90 โดยเงินบาทในสัปดาห์นี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวตามเป็นของเงินดอลลาร์เป็นสำคัญทั้งจากผลของการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างรุนแรงที่ส่งผลให้การว่างงานในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใกล้แตะระดับ 5 แสนราย
ทั้งนี้ นักลงทุนจะยังรอติดตามผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสต่อตัวเลขเศรษฐกิจ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มีกำหนดเปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในวันอังคาร รวมถึงตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนในสัปดาห์นี้ โดยตลาดคาดว่าเศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 1 จะหดตัวลง 6%
ทั้งนี้ รัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของกลุ่มประเทศจี-20 มีกำหนดแถลงการณ์ร่วมกันในวันพุธ ด้านปัจจัยขับเคลื่อนตลาดการเงินเอเชีย ธนาคารกลางอินโดนีเซียมีกำหนดประชุมนโยบายการเงินในวันอังคาร โดยตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps จากระดับ 4.25% ในปัจจุบัน ขณะที่เกาหลีใต้มีกำหนดจัดการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 15 เมษายน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาท เงินบาทเงินบาทผันผวนในทิศทางแข็งค่าต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากเงินดอลลาร์เป็นหลัก เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อนักลงทุนเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น และกลับเข้าถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น หลังจากการตัวเลขการติดเชื้อใหม่ของประเทศที่ีมีการแพร่ระบาดรุนแรง อาทิ สหรัฐฯ และยุโรป เริ่มชะลอลง ทำให้นักลงทุนเริ่มคาดหวังว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดถึงจุดสูงสุดแล้ว แม้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดย แอนโทนี ฟอซี ที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของทำเนียบขาวกล่าวว่าการแพร่ระบาดของไวรัสในสหรัฐฯ อาจดีขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจะลดลงในภายหลัง นอกจากนี้ ตลาดยังคาดหวังบทสรุปการเจรจาของกลุ่มโอเปกในการลดกำลังการผลิตน้ำมันด้วย โดยในที่สุดกลุ่มโอเปกและพันธมิตรลดกำลังการผลิตลง 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ เฟดออกมาตรการบรรเทาผลกระทบเพิ่มเติมอีก 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบด้วย
(1) ปล่อยเงินกู้แก่ SMEs ระยะเวลา 4 ปี โดยยกเว้นการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในปีแรก
(2) ซื้อสินเชื่อของ SMEs วงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์เพื่อให้บริษัทยังคงจ้างงานต่อไป
(3) ขยายวงเงินซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชนและตราสารที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันมาที่ 8.5 แสนล้านดอลลาร์
(4) ช่วยเหลือรัฐบาลแต่ละรัฐและท้องถิ่นวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์ ด้านไทย คณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการบรรเทาผลกระทบระยะที่ 3 มูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท (12%GDP)
ในส่วนของคลัง จะขยายมาตรการช่วยเหลือแรงงานเป็น 6 เดือน วงเงิน 6 แสนล้านบาท และฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 4 แสนล้านบาท ในส่วนของมาตรการการเงินมีวงเงิน 9 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการออก พระราชกำหนด 2 ฉบับให้อำนาจ ธปท. ทำโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) วงเงินรวม 5 แสนล้านบาท และสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุน BSF เพื่อช่วยซื้อตราสารหนี้เอกชนที่ครบกำหนดและต้องการต่ออายุได้ วงเงิน 4 แสนล้านบาท ทั้งนี้ เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 32.67 ในวันศุกร์ (เวลา 17.00 น.)
ภาพรวมตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่าน นักลงทุนเริ่มกลับมาอยู่ในโหมดเปิดรับความเสี่ยงได้เล็กน้อย สะท้อนผ่านดัชนี VIX index (Volatility Index) ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้อ้างอิงว่าเป็นดัชนีชี้วัดความกลัวในตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องจากระดับปิดสูงสุดที่ 82.69 ในวันที่ 16 มีนาคม 63 มาอยู่ที่ 41.54 (ณ เวลา 16.00 ของวันที่ 10 เมษายน 63) ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดยังให้น้ำหนักกับประเด็นของไวรัสโควิด-19เป็นหลัก โดยล่าสุดตลาดคลายความกังวลลงเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อและรายงานผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่การแพร่ระบาดมากอย่างในยุโรปเริ่มลดลง
ขณะเดียวกันตลาดได้รับแรงหนุนจากประเด็นที่เฟดออกมาตรการบรรเทาผลกระทบเพิ่มเติมอีก 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบด้วย (1) ปล่อยเงินกู้แก่ SMEs ระยะเวลา 4 ปี โดยยกเว้นการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในปีแรก
(2) ซื้อสินเชื่อของ SMEs วงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์เพื่อให้บริษัทยังคงจ้างงานต่อไป
(3) ขยายวงเงินซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชนและตราสารที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันมาที่ 8.5 แสนล้านดอลลาร์
(4) ช่วยเหลือรัฐบาลแต่ละรัฐและท้องถิ่นวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์ โดยประเด็นที่เกี่ยวข้องกับตลาดตราสารหนี้โดยตรงคือการขยายวงเงินซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชนและตราสารที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันซึ่งการประกาศครั้งนี้ครอบคลุมหุ้นกู้กลุ่ม High-Yield ส่งผลให้ตลาด credit ปรับตัวดีขึ้น โดย credit spread ของหุ้นกู้ rating BBB ในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมาประมาณ 20 bps ในขณะที่ตัวเลขของทางสหรัฐฯ ยังคงสะท้อนผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยการรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์ที่ 4 เมษายนเพิ่มขึ้นถึง 6.6 ล้านคน และยอดขอรับสวัสดิการฯ ในสัปดาห์ก่อนยังปรับปรุงเพิ่มขึ้นอีก 3 แสนคนเป็น 6.9 ล้านคน ทำให้ในช่วง 3 สัปดาห์มีผู้ขอรับสวัสดิการสูงถึง 16.8 ล้านคน
ในส่วนประเด็นภายในประเทศที่สำคัญคือการที่ทางคณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการบรรเทาผลกระทบระยะที่ 3 มูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท (12%GDP) โดยในส่วนของมาตรการการคลัง จะขยายมาตรการช่วยเหลือแรงงานจากเดิม 3 เดือนเป็น 6 เดือน วงเงิน 6 แสนล้านบาท และฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 4 แสนล้านบาท ขณะที่มาตรการการเงินมีวงเงิน 9 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการออก พระราชกำหนด 2 ฉบับให้อำนาจ ธปท. ทำโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) วงเงินรวม 5 แสนล้านบาทและสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุน BSF เพื่อช่วยซื้อตราสารหนี้เอกชนที่ครบกำหนดและต้องการต่ออายุได้ วงเงิน 4 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ธปท.ยังได้ประกาศขยายระยะเวลาคุ้มครองเงินฝากที่ 5 ล้านบาทต่อไปอีก 1 ปีจากที่สิ้นสุดในเดือนสิงหาคมปีนี้และปรับลดการนำเงินส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและสถาบันการเงิน (FIDF) ของสถาบันการเงินลงครึ่งหนึ่งจาก 46 bps เป็น 23 bps เป็นเวลา 2 ปี การปรับลดการนำเงินส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและสถาบันการเงิน (FIDF) นี้เองที่ทำให้ตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเป็นการเปิดช่องให้ ธปท. สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในการประชุมครั้งหน้า
ส่งผลให้เห็นนักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในระยะสั้นถึงกลาง โดย ณ วันที่ 10 เมษายน 2563 อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยรุ่นอายุ 1, 2, 3, 5, 7 และ 10ปี อยู่ที่ 0.71% 0.70% 0.78% 1.03% 1.30% และ 1.45% ตามลำดับ
กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมาไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยรวมสุทธิประมาณ 7,619 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 280 ล้านบาท ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 7,338 ล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่ถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติหมดอายุ 1 ล้านบาท


