ได้เวลาแล้วหรือยัง
นับว่าหลายฝ่ายเริ่มจับจ้องต่อทิศทางการเมืองไทยมากขึ้น เพราะได้เวลานับถอยหลังก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงปี 2562
โดย...ทองพระราม
นับว่าหลายฝ่ายเริ่มจับจ้องต่อทิศทางการเมืองไทยมากขึ้น เพราะได้เวลานับถอยหลังก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่ โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงปี 2562
การเลือกตั้งครั้งนี้นับว่าสำคัญยิ่งต่อประเทศ หลังจากเคยต้องเผชิญการจัดการเลือกตั้งล้มเหลวมาแล้ว จากบรรดาพลพรรคยกพลปิดคูหาหน่วยเลือกตั้ง ทำให้ประเทศขณะนั้นย้อนรอยกลับไปยังกองทัพให้สวมท็อปบู๊ตตบเท้าออกมาควบคุมสถานการณ์บ้านเมือง ไม่ให้บานปลายไปจนถึงขั้นนองเลือด
เพียงเพราะจากความเห็นต่างทางความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา และความชื่นชอบ เมื่อการก้าวเข้ามาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะทหารหาญเขย่าตะกอนที่เคยนอนก้นจับกรองเสียใหม่ให้เกิดความใส ตามแนวทางการปฏิรูปประเทศ ซึ่งรัฐบาล คสช. ประกาศไว้
แต่เมื่อเวลาเดินผ่านเนิ่นนานมากว่า 4 ปี ก็ต้องยอมรับว่าสมควรแก่เวลา ให้พรรคการเมืองเปิดตัวเดินหน้าในทางการเมือง หากยืดเวลาทอดน่องออกไป
เชื่อว่าทุกสายตาโดยเฉพาะนานาประเทศจากทั่วโลก ซึ่งกำลังเฝ้ามองความเป็นไปของไทย จะมีท่าทีอย่างไรถึงความแน่ชัดของอนาคตต่อจากนี้อย่างไร
ทว่า ที่น่าเศร้าใจ ล่าสุดจากผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ หรือนิด้า สะท้อนให้เห็นบางอย่างให้ละเหี่ยใจเลย
เมื่อรัฐประกาศก้องพร้อมการันตีจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในประเทศ เพื่อคืนอำนาจประชาธิปไตยให้กับปวงชนชาวไทยได้เป็นผู้ตัดสินใจหาคนดี
เข้ามาบริหารประเทศ แต่ผลสำรวจกับบอกไปในทิศทางเดียวกันและนับเป็นคะแนนส่วนใหญ่ก็ว่าได้ เช่น เรื่องกาบัตรลงคะแนน 77% ประชาชนไม่ทราบว่าต้องกาเพียง 1 ใบ
ถัดมาในเรื่องหมายเลขของผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขต ซึ่ง 82% ประชาชนไม่ทราบเลยว่า เลขของผู้สมัครแต่ละพรรคแต่ละเขตจะมีความแตกต่างกัน
รองลงมาเรื่องของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 73% ประชาชนไม่ทราบ และไม่แน่ใจถึง 75% เป็นช่วงเวลา 08.00-15.00 น. และ 24% เวลา 08.00-16.00 น.
แต่เป็นเรื่องน่ายินดีต่อผลสำรวจนี้ เมื่อมีการถามถึงการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ. 2562 พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ 95%มาแน่นอน
จึงนับว่าประสบความสำเร็จเสียยิ่งกระไร เห็นทีรัฐบาลรวมถึงหน่วยงานเกี่ยวข้องอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรต้องโหมโรงให้หนักกว่าเก่า
เพราะผลสำรวจที่ออกมาสะท้อนให้เห็นอะไรหลายอย่าง ซึ่งการเลือกตั้งที่จะใกล้เข้ามา นับว่าสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะผู้มีสิทธิหน้าใหม่กว่าหลายล้านคน
จะได้เข้าคูหาลงคะแนนกับพรรคและคนที่เหมาะสมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ให้เข้ามาบริหารประเทศแทนตัว กลับรู้เพียงคร่าวๆ หรือแทบไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ
หากเป็นเช่นตามผลโพลปรากฏ รัฐเองต้องกลับมาทบทวนตัวเองให้หนักขึ้น ว่าสิ่งที่พยายามดำเนินการมาทั้งหมดนั้น แท้จริงแล้วประสบความสำเร็จแค่ไหน