posttoday

กรณีศึกษา

30 ตุลาคม 2561

ภายหลังกรณีสื่อโซเชียล แชร์คลิปเหตุการณ์หญิงสูงวัย 2 คน ใช้ขวานและเหล็กยาวทุบทำลายรถยนต์ที่จอดขวางบริเวณประตูทางออกหน้าบ้านพักอาศัย

โดย...แสงตะเกียง

ภายหลังกรณีสื่อโซเชียล แชร์คลิปเหตุการณ์หญิงสูงวัย 2 คน ใช้ขวานและเหล็กยาวทุบทำลายรถยนต์ที่จอดขวางบริเวณประตูทางออกหน้าบ้านพักอาศัย ภายในซอยหมู่บ้านเสรีวิลล่า แยก 2 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ทำให้รถยนต์ของผู้ที่เดินทางมาซื้อของภายในตลาดติดกับบ้านหลังดังกล่าว ได้รับความเสียหาย ก่อนถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลาย จนนำมาสู่การสั่งตรวจสอบตลาดและสั่งยุติกิจการตลาดทั้ง 5 แห่ง

เรื่องนี้ได้ฟังความเห็นของผู้อำนวยการสำนักงานเขตประเวศ ท่านยอมรับว่าเหตุเดือดร้อนมีผู้ร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก ส่วนแนวทางการแก้ไขมีเพียงแนวทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่หลักรัฐศาสตร์ หรือนิติศาสตร์ แต่เป็นหลักเจรจาเท่านั้น

โดยทุกฝ่ายที่เดือดร้อน หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบต้องหันหน้าคุยกัน ซึ่งสำนักงานเขตหรือเจ้าหน้าที่รัฐต้องเป็นตัวกลางประสานเรื่องร้องทุกข์ โดยเฉพาะเขตประเวศที่แต่ละวันมีเรื่องร้องเรียนเข้ามามาก จะใช้การเจรจาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ได้ผล ยกตัวอย่างบางกรณีมีคู่กรณีขัดแย้งกันมา 18 ปี แต่ไม่เคยหันหน้าคุยกัน ท้ายสุดยอมเจรจาร่วมกัน โดยมีเขตเป็นตัวกลาง จนมีข้อยุติและปัจจุบันใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุข

บทสรุปของกรณีป้าทุบรถคือ ทางเขตรื้อถอนโครงสร้างส่วนที่ผิดกฎหมายออกทั้งหมด พิจารณาเป็นแต่ละกรณีไป เพราะทั้งหมดขอจัดตั้งตลาดคนละประเภท โดยในส่วนก่อสร้างหรือต่อเติมสิ่งปลูกสร้างผิดกฎหมาย ทางเขตสั่งให้เจ้าของตลาดดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย อาทิ ตลาดยิ่งนรา ขอจดเป็นอาคารพาณิชย์ แต่มีการต่อเติมลานจอดรถให้เป็นร้านค้า ต้องแก้ไขตามที่ขออนุญาต ตลาดเปิ้ลมาร์เก็ต จดเป็นอาคารพาณิชย์ก็ต้องรื้อส่วนต่อเติมโดยรอบให้ถูกต้อง ขณะที่ตลาดร่มเหลืองเข้าข่ายตลาดประเภท 2 แต่ไม่ได้ขอนุญาตจัดตั้งตลาด ทางเขตให้หยุดกิจการไว้ก่อน

หากจะมองว่าการเจรจาคือทางออกที่ดีที่สุด ก็ไม่ผิดเสียทีเดียว ทว่าความเห็นของเจ้าหน้าที่รัฐจะถอยห่างออกมาเป็นตัวกลางของปัญหาทั้งหมดคงไม่ถูกต้อง เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มีแค่เรื่องของตลาดเท่านั้น แต่ปัญหายังขยายไปถึงเรื่องของ กลิ่น เสียง จอดรถกีดขวาง ฯลฯ แน่ใจหรือว่าเจรจาไหว

ผู้อำนวยการเขตประเวศ ท่านยังบอกเองว่า ทุกวันนี้ส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจ คอยสอดส่อง กวดขันไม่ให้ผู้ใดจำหน่ายสินค้าบนถนนและทางเท้าและไม่ให้มีการจัดตั้งตลาดบริเวณโดยรอบบ้านป้าตามที่เกิดความเดือดร้อน

เห็นหรือไม่ว่า สุดท้ายแล้วหนีไม่พ้นเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ดูแลต้องออกมากวดขันวินัย ประชาชนจึงจะอยู่ร่วมกันได้ เพราะเมื่อกลายเป็นกระแสสังคมให้วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก สำนักงานเขตต่างหากที่เสียหาย นำพาให้ถูกคาดเดาว่าอาจมีเรื่องผลประโยชน์ระหว่างเจ้าของตลาดกับเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็น่าเห็นใจทั้งต่อเจ้าของบ้านและเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงาน

ฉะนั้นผู้รักษากฎหมายจึงควรผดุงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม เป็นที่พึ่งให้ประชาชนแม้ทุกวันนี้เรื่องราวร้องเรียนจะมีเข้ามามากในแต่ละวัน ก็เป็นหน้าที่ไม่ใช่หรือที่ต้องช่วยบรรเทาทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชนทุกคน

พิจารณาให้ดีจะพบว่า วินาทีที่ขวานจามลงบนรถ มันคือปัญหาที่ปลายเหตุแล้ว ขณะที่ต้นเหตุแท้จริงอยู่ที่ความไม่เข้มงวดของผู้รักษากฎหมาย ถ้าจะใช้กรณีนี้เป็นบทเรียน ก็ขอให้พิจารณาใหม่ว่าทางออกที่ดีที่สุดควรเริ่มยึดหลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์เป็นรอง แล้วจบลงท้ายด้วยเจรจา ไม่ใช่เจรจาก่อนหลักกฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะมีกฎหมายเป็นบรรทัดฐานทางสังคมไว้เพื่อเหตุใด