จับตา...จับคนผิด
“ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” เห็นทีจะไม่มีสุภาษิตไทย ตรงจุดได้เท่ากับประโยคที่เขียนไป
โดย...ทองพระราม
“ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” เห็นทีจะไม่มีสุภาษิตไทย ตรงจุดได้เท่ากับประโยคที่เขียนไป เพราะล่าสุดดันเกิดเหตุบุคคลในเครื่องแบบร่วมกับประชาชน ทำการล่าหมีขอซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวน ภายในอุทยานแห่งชาติไทรโยค
พฤติการณ์ดังกล่าวตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะผู้ถูกควบคุมตัว 11 ราย มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องดัวย พร้อมทั้งยังพบอาวุธ ยานพาหนะ และของกลางอีกหลายรายการ
ขณะเดียวกัน ยังได้ตั้งอีก 9 ข้อหา เพื่อดำเนินการลงโทษตามฐานความผิดที่ได้กระทำลงไป แม้เรื่องนี้อาจดูเจ็บปวดไปสักหน่อย เพราะดันมีระดับปลัดอำเภอเข้าไปเกี่ยวข้อง
สะท้อนให้เห็นถึงผู้ถือกฎหมายอยู่ในมือกลับกระทำเสียเอง หรือชาวบ้านเรียกกันให้เข้าใจง่าย คือ “จะทำอะไรก็ได้ เพราะมีอำนาจ” ก็คงไม่ไกลเกินไปที่จะกล่าวถึง
แต่หากเปรียบเทียบแบบนี้คงดูจะไม่แฟร์โดยเฉพาะสำหรับข้าราชการน้ำดีที่อุทิศและเสียสละทำงานเพื่อประชาชนและบ้านเมือง ต้องมาได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ทว่า ทั้งหมดทั้งมวลต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ว่าท้ายสุดแล้วประเด็นนี้จะเป็นอย่างไร หรือไม่ต่างอะไรจากประชาชนทั่วไปคิด คือ เงียบหายไปหรือล่าช้าเหมือนกรณีเสือดำที่ถูกยิงเสียชีวิต
การกระทำครั้งนี้เรียกได้ว่าอุกอาจไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ที่สำคัญยังเป็นบุคคลที่เรียกตัวเองว่า “ข้าราชการ” เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันแบบเต็มๆ
ประเด็นนี้เอาเข้าสุภาษิตไทยอีกประโยค “ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง” ดังนั้น จำเป็นต้องจัดการเรื่องดังกล่าวอย่าง จริงจัง ถูกต้อง รอบคอบ เร่งด่วน และให้เกิดความเป็นธรรม
เพื่อสร้างบรรทัดฐานให้กับผู้คิดกระทำความผิด ได้ทบทวน ตรึกตรอง เสียก่อนจะลงมือกระทำอะไรการอันใด อันขัดและสวนทางต่อกฎหมายของบ้านเมือง
หากไร้ซึ่งความยำเกรงในตัวบทกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ไม่ต่างอะไรบ้านเมืองไร้ขื่อแป และยิ่งเฉพาะคนเรียกตัวเองว่าข้าราชการ เป็นผู้กระทำเสียเองแล้ว
กฎหมายก็ไม่ต่างอะไรจากเพียงแค่เศษกระดาษที่บัญญัติถ้อยคำสวยหรูไว้เขียนขู่ หรือสามารถใช้ได้เพียงเฉพาะกับบุคคลบางกลุ่มเท่านั้นเอง
ความหมายของคำว่า “กฎหมาย” ก็คงจะไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป เพราะหากถูกนำไปใช้โดยเลือกปฏิบัติแล้วละก็ จึงเป็นเรื่องต้องตระหนักให้ดีและรอบด้าน
ผนวกกับกลิ่นควันหลงจากบทเรียนครั้งเก่าก่อนยังอบอวลยากรางเลือนมาเป็นเงาตามหลอกหลอน และเมื่อเกิดของใหม่ขึ้นมาซ้ำรอยจึงกลายเป็นความกดดันอย่างเลี่ยงไม่ได้
นับว่าเป็นงานหนักสำหรับกระบวนการยุติธรรมให้ที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษในเรื่องนี้ว่าจะสามารถจัดการผู้กระทำผิดได้จริง โดยไม่มีแพะ แกะ ลา ช้าง ม้า มารับเคราะห์แทน
เวลากับความจริงเท่านั้นคือเครื่องพิสูจน์ โดยเฉพาะผู้ถือกฎหมายไว้ในมือจะจัดการกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร เพื่อให้เป็นปฐมบทอันสำคัญที่ว่า ไม่มีทางหลีกเลี่ยงกฎหมายไปได้
ท่ามกลางการจับจ้องจากทุกสายตาที่โฟกัสต่อกระบวนการยุติธรรมซึ่งถือเป็นความหวัง อาจจะถูกกดดันไปบ้างพอควร แต่ทุกอย่างล้วนต้องพิสูจน์ออกมาให้เกิดความยุติธรรม