posttoday

เมื่อแกนโลกเปลี่ยน

06 สิงหาคม 2561

ในแวดวงสื่อสารเทคโนโลยีมีข่าวที่น่าสนใจก็คือ การที่ยอดขายโทรศัพท์หัวเว่ยแซงหน้าไอโฟนเป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 ของปีนี้ 

โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย

ในแวดวงสื่อสารเทคโนโลยีมีข่าวที่น่าสนใจก็คือ การที่ยอดขายโทรศัพท์หัวเว่ยแซงหน้าไอโฟนเป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 ของปีนี้ 

ข้อมูลจาก IDC (International Data Corporation) ระบุว่า ในไตรมาส 2 ของปีนี้ โทรศัพท์มือถือที่มียอดขายอันดับแรกของโลกยังคงเป็นของซัมซุง 71.5 ล้านเครื่อง ตามมาด้วยหัวเว่ย อยู่ที่ 54.2 ล้านเครื่อง ไอโฟน  41.3 ล้านเครื่อง เสี่ยวหมี่ 31.9 ล้านเครื่อง และออปโป้ 29.4 ล้านเครื่อง

ทั้งหมดทำให้มีการประเมินว่า หัวเว่ยมีโอกาสแซงไอโฟนอย่างถาวรเมื่อถึงสิ้นปีนี้  และขึ้นมาเขย่าบัลลังก์แชมป์อย่างซัมซุง

จะจริงหรือไม่จริง เป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ในอนาคต

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็คือโทรศัพท์มือถือของจีนยึดตลาดโลกเรียบร้อยแล้ว

จากข้อมูล IDC เช่นกัน ระบุว่า ไตรมาส 2 ของปีนี้ตลาดมือถือของโลกมียอดขายประมาณ 342 ล้านเครื่อง โดยใน 5 ยักษ์ใหญ่นั้นเป็นมือถือของจีนอยู่ถึง 3 ยักษ์ คือ หัวเว่ย เสี่ยวหมี่ และออปโป้

หากนำเอายอดขายของทั้ง 3 รายรวมกันจะอยู่ที่ 115.5 หรือครองตลาดอยู่ถึง 1 ใน 3 ของโลก

และแนวโน้มในอนาคต มือถือของจีนจะยิ่งแย่งชิงตลาดโลกได้มากขึ้น

เหตุผลสำคัญมาจากราคาเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ โดยมือถือของจีนมีราคาถูกกว่า แต่ประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน หรือบางรุ่นกลับเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ

อย่างไอโฟนเคยขึ้นชื่อลือชาในการสร้างนวัตกรรม ทำให้สาวกทั้งหลายต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเมื่อมีรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด และมีการปรับราคาขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าในกรณีโทรศัพท์ของจีนกลับทำในทิศทางตรงกันข้าม โดยราคาไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนไอโฟน แต่กลับเพิ่มประสิทธิภาพ

ในตะวันตกหรือประเทศอื่นๆ  สมาร์ทโฟนถูกใช้สำหรับเพียงแค่เครื่องมือสื่อสาร เครื่องรับส่งข้อความ พูดคุย สร้างสังคมออนไลน์ สร้างความบันเทิงสารพัดรูปแบบ

แต่สำหรับเมืองจีน โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำธุรกิจ ทำมาค้าขาย นั่นคือการค้าขายออนไลน์ หรืออี-คอมเมิร์ซ ที่เปิดโลกธุรกิจให้กับคนจีนตั้งแต่เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา เอสเอ็มอี ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่

สงครามตลาดมือถือถึงเป็นภาพสะท้อนของจีนในตลาดโลก ที่พร้อมจะเข้าไปครอบครองในทุกๆ ด้าน

ไม่ว่าจะเป็นสินค้าพื้นฐานไปจนถึงสินค้าไฮเทค

จีนทำได้เนื่องจากความพร้อมทั้งในแง่ตลาดภายในที่มีประชากรมหาศาล ทั้งในด้านแรงงาน ความเชี่ยวชาญเฉพาะ และเทคโนโลยีที่กำลังยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ

สิ่งเหล่านี้จึงเป็นส่วนผสมทำให้สินค้าจีนแข็งแกร่งและแย่งชิงตลาดได้เพิ่มขึ้น

สินค้า Made in China จึงจะเบียดสินค้า Made in Japan หรือ Made in USA

นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น โดยกระแสลมกำลังเปลี่ยนแปลงไป

จีนจะกลายเป็นศูนย์กลางโลกในอนาคตแน่นอน