เมื่อแกนโลกเปลี่ยน
ในแวดวงสื่อสารเทคโนโลยีมีข่าวที่น่าสนใจก็คือ การที่ยอดขายโทรศัพท์หัวเว่ยแซงหน้าไอโฟนเป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 ของปีนี้
โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย
ในแวดวงสื่อสารเทคโนโลยีมีข่าวที่น่าสนใจก็คือ การที่ยอดขายโทรศัพท์หัวเว่ยแซงหน้าไอโฟนเป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 ของปีนี้
ข้อมูลจาก IDC (International Data Corporation) ระบุว่า ในไตรมาส 2 ของปีนี้ โทรศัพท์มือถือที่มียอดขายอันดับแรกของโลกยังคงเป็นของซัมซุง 71.5 ล้านเครื่อง ตามมาด้วยหัวเว่ย อยู่ที่ 54.2 ล้านเครื่อง ไอโฟน 41.3 ล้านเครื่อง เสี่ยวหมี่ 31.9 ล้านเครื่อง และออปโป้ 29.4 ล้านเครื่อง
ทั้งหมดทำให้มีการประเมินว่า หัวเว่ยมีโอกาสแซงไอโฟนอย่างถาวรเมื่อถึงสิ้นปีนี้ และขึ้นมาเขย่าบัลลังก์แชมป์อย่างซัมซุง
จะจริงหรือไม่จริง เป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ในอนาคต
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็คือโทรศัพท์มือถือของจีนยึดตลาดโลกเรียบร้อยแล้ว
จากข้อมูล IDC เช่นกัน ระบุว่า ไตรมาส 2 ของปีนี้ตลาดมือถือของโลกมียอดขายประมาณ 342 ล้านเครื่อง โดยใน 5 ยักษ์ใหญ่นั้นเป็นมือถือของจีนอยู่ถึง 3 ยักษ์ คือ หัวเว่ย เสี่ยวหมี่ และออปโป้
หากนำเอายอดขายของทั้ง 3 รายรวมกันจะอยู่ที่ 115.5 หรือครองตลาดอยู่ถึง 1 ใน 3 ของโลก
และแนวโน้มในอนาคต มือถือของจีนจะยิ่งแย่งชิงตลาดโลกได้มากขึ้น
เหตุผลสำคัญมาจากราคาเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ โดยมือถือของจีนมีราคาถูกกว่า แต่ประสิทธิภาพเท่าเทียมกัน หรือบางรุ่นกลับเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ
อย่างไอโฟนเคยขึ้นชื่อลือชาในการสร้างนวัตกรรม ทำให้สาวกทั้งหลายต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเมื่อมีรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด และมีการปรับราคาขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าในกรณีโทรศัพท์ของจีนกลับทำในทิศทางตรงกันข้าม โดยราคาไม่ได้ปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนไอโฟน แต่กลับเพิ่มประสิทธิภาพ
ในตะวันตกหรือประเทศอื่นๆ สมาร์ทโฟนถูกใช้สำหรับเพียงแค่เครื่องมือสื่อสาร เครื่องรับส่งข้อความ พูดคุย สร้างสังคมออนไลน์ สร้างความบันเทิงสารพัดรูปแบบ
แต่สำหรับเมืองจีน โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำธุรกิจ ทำมาค้าขาย นั่นคือการค้าขายออนไลน์ หรืออี-คอมเมิร์ซ ที่เปิดโลกธุรกิจให้กับคนจีนตั้งแต่เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา เอสเอ็มอี ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่
สงครามตลาดมือถือถึงเป็นภาพสะท้อนของจีนในตลาดโลก ที่พร้อมจะเข้าไปครอบครองในทุกๆ ด้าน
ไม่ว่าจะเป็นสินค้าพื้นฐานไปจนถึงสินค้าไฮเทค
จีนทำได้เนื่องจากความพร้อมทั้งในแง่ตลาดภายในที่มีประชากรมหาศาล ทั้งในด้านแรงงาน ความเชี่ยวชาญเฉพาะ และเทคโนโลยีที่กำลังยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นส่วนผสมทำให้สินค้าจีนแข็งแกร่งและแย่งชิงตลาดได้เพิ่มขึ้น
สินค้า Made in China จึงจะเบียดสินค้า Made in Japan หรือ Made in USA
นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น โดยกระแสลมกำลังเปลี่ยนแปลงไป
จีนจะกลายเป็นศูนย์กลางโลกในอนาคตแน่นอน