หนี้สมรส
โดย...สาธิต บวรสันติสุทธิ์CFP
โดย...สาธิต บวรสันติสุทธิ์CFP
ครั้งที่แล้ว เราคุยกันเรื่องการบริหารทรัพย์สินกับการจดทะเบียนสมรส แยกเป็นสิน ส่วนตัวกับสินสมรสแล้ว คราวนี้เรามาดูเรื่องหนี้สินกันต่อนะว่าหนี้ส่วนตัวกับหนี้สมรส ใช้หลักการเดียวกันกับสินส่วนตัวหรือสินสมรส หรือไม่ แล้วเราจะบริหารหนี้กันอย่างไรดีครับ
เมื่อสามีภริยาจดทะเบียนสมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้ว นอกจากเรื่องของการจัดการสินสมรสร่วมกัน เรื่องของหนี้สินที่หากสามีหรือภริยาไปก่อให้เกิดขึ้น อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องร่วมกันรับผิดต่อเจ้าหนี้ด้วย อ้าว หลายคนคงร้อง "เฮ้ย เกี่ยวอะไรด้วย" เพราะหากสามีหรือภรรยาตัวดีแอบไปก่อหนี้โดยอีกฝ่ายไม่รู้ ตื่นมาอีกทีเป็นหนี้หัวโต อย่างนี้ไม่น่าจะใช่นะ สบายใจได้ครับ กฎหมายก็คำนึงถึงเรื่องนี้เหมือนกันดังนั้นเพื่อเป็นการคุ้มครองคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งจึงได้ ตีกรอบและกำหนดประเภทของหนี้ว่าหนี้แบบไหน เป็นหนี้สมรสที่สามีภริยาที่จดทะเบียนจะต้อง รับผิดร่วมกัน แม้ว่าจะมีชื่อคู่สมรสเพียงฝ่ายเดียวในการก่อภาระหนี้มี 4 กรณี ดังนี้
1.หนี้ที่เกี่ยวกับการจัดการบ้านเรือน การจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว การรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัว และการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ สังเกตนะครับ หนี้ร่วมทั้ง 5 ประการตามข้อนี้ เน้นบุคคลที่อยู่ในครอบครัวเป็นหลัก และจำนวนหนี้ต้องพอสมควรแก่อัตภาพ ฉะนั้น ไม่ว่าสามีหรือภริยาเป็นผู้ไปก่อขึ้นแม้จะไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน และหนี้เหล่านี้จะต้องมีจำนวนพอสมควรตามอัตภาพ หมายความว่าหากมีมากเกินไป จะไม่ถือเป็นหนี้ร่วมแต่จะกลายเป็นหนี้ส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายที่ก่อหนี้นั้น
2.หนี้ที่เกี่ยวกับสินสมรส เช่น การกู้ยืมเงินมาซ่อมบ้านที่เป็นสินสมรส สมมติสามีกู้เงินธนาคารมาซ่อมบ้าน แต่ตอนหลังเบี้ยวหนี้ ธนาคารสามารถมายึดบ้านที่เป็นสินสมรสได้ แม้ว่าภรรยาจะอ้างว่าไม่รู้เรื่องก็ตาม แต่ถ้าเป็นกรณีสามีแอบไปกู้เงินซื้อคอนโดให้กิ๊กอยู่โดยที่ภรรยาไม่รู้เรื่อง กรณีนี้ถือเป็นหนี้ส่วนตัวไม่ถือเป็นหนี้ร่วม ภริยาไม่ต้องรับผิดชอบ แต่อย่างว่าแหละครับ หากสินส่วนตัวของสามีไม่พอชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็จะสามารถมายึดสินสมรสได้ แต่ยึดได้ไม่เกินครึ่งหนึ่งของสินสมรสครับ
3.หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานที่สามีและภรรยาทำด้วยกัน เช่น เปิดร้านขายของด้วยกัน ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในกิจการค้า เช่น ค่าสินค้า ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่า เป็นต้น หนี้ตามข้อนี้อาจเกิดขึ้นจากฝ่ายสามีหรือภริยาเพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้ไปก่อขึ้นก็ได้ ก็ถือว่าเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
4.หนี้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวโดยอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน ถ้าว่ากันตามหลักเบื้องต้นฝ่ายใดไปก่อหนี้ขึ้นโดยลำพังเพื่อประโยชน์ตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ก็น่าจะผูกพันเฉพาะฝ่ายที่ไปก่อให้เกิดหนี้ขึ้น แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันคือยอมรับว่าหนี้นั้นเป็นหนี้ของตนด้วย จึงถือเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยา เช่น การลงชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ที่คู่สมรสของตนเป็นผู้กู้ หรือการให้ความยินยอมด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือในการที่คู่สมรสเป็นผู้กู้ในสัญญากู้ เป็นต้น
เมื่อเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยา กฎหมายได้กำหนดว่า ถ้าสามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ให้ชำระหนี้นั้นจากสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย นั่นคือ ในการบังคับชำระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องสามีภริยาเพื่อบังคับเอากับสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่ายได้ แม้ว่าคู่สมรสอีกฝ่ายจะมิได้ลงชื่อร่วมในฐานะคู่สัญญาด้วยหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น การครองชีวิตครอบครัวจะต้องระมัดระวังเรื่องการก่อหนี้สินให้ดี หากอีกฝ่ายไปก่อหนี้ขึ้นมา อาจจะมีผลกระทบถึงคู่สมรสและความสงบสุขของครอบครัวได้ครับ
ส่วนหนี้สินเดิมๆ ที่มีมาก่อนจดทะเบียนสมรสจะยังคงเป็นหนี้ส่วนตัวของใครของมัน ใครก่อหนี้ไว้คนนั้นต้องรับผิดชอบเอง ดังนั้นสบายใจได้นะครับ ถ้าเผลอไปรู้ทีหลังจากจดทะเบียนสมรสไปแล้วว่าแฟนเราไม่ได้มาแต่ตัวแต่ดันพกหนี้มาด้วย แต่ก็ใช่จะวางใจได้ทีเดียวครับ เพราะหากทรัพย์สินส่วนตัวมีไม่พอสำหรับการชดใช้หนี้ เจ้าหนี้ก็จะสามารถมายึดสินสมรสได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ยึดได้ไม่เกินครึ่งหนึ่งของสินสมรสครับ
สรุปง่ายๆ ถ้ารักใครชอบใคร ดูให้ดีมีหนี้เยอะป่าว ถ้ามีหนี้ติดตัวมาเยอะ หรือมีนิสัยชอบก่อหนี้ ก่อนจะจดทะเบียนก็คิดให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนครับ
ท่านที่สนใจบทความทางการเงินที่ผมได้เขียนเองและได้รวบรวมจากแหล่งต่างๆ สำหรับเผยแพร่ให้ท่านผู้สนใจ ขอเชิญไปกด Like ได้ที่ page ใน facebook ชื่อ Sathit CFP เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารต่อไปได้ครับ...ขอบคุณครับ


