จะลงทุน Options ต้องรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับราคาใช้สิทธิบ้าง

โดย บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย)

ถ้าผู้ลงทุนเคยติดตามราคาของ Options ใน TFEX จะเห็นว่า Options ที่มีการซื้อขายกันอยู่นั้น นอกจากจะแบ่งประเภทตามสิทธิออกเป็น 2 อย่าง ได้แก่ สิทธิในการซื้อ (Call Options) และสิทธิในการขาย (Put Options) แล้ว ใน Options ทั้งสองประเภทที่มีวันหมดอายุพร้อมๆ กันยังมีให้เลือกซื้อหรือขายอีกหลายตัวบนกระดานซื้อขาย คือ มี Call Options ให้เลือกซื้อขายหลายตัว และมี Put Options ให้เลือกซื้อขายหลายตัว เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก Call Options หรือ Put Options เหล่านั้นแต่ละตัวมีราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่แตกต่างกันนั่นเอง

ในการซื้อขาย Options ราคาใช้สิทธิ (Strike Price, Exercise Price) เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ลงทุนจะต้องให้ความสนใจ เนื่องจาก Strike Price ส่งผลโดยตรงต่อกำไรขาดทุนที่จะเกิดขึ้นของผู้ซื้อและผู้ขาย Options ในมุมมองของผู้ขาย Options นั้น Strike Price จะเป็นระดับราคาตัดสินว่าผู้ขายจะถูกเคลมส่วนต่างระหว่างราคาสินค้าอ้างอิงในปัจจุบันกับ Strike Price จากผู้ซื้อหรือไม่ สำหรับมุมมองของผู้ซื้อ Strike Price จะเป็นระดับราคาที่ต้องการทำประกันความเสี่ยงไว้ในกรณีถ้าราคาสินค้าอ้างอิงเปลี่ยนแปลงไปขึ้นหรือลงเกินจากระดับราคานี้ ก็จะสามารถเคลมสิทธิส่วนต่างจากผู้ขายได้

เวลาที่จะพิจาณา Strike Price จะต้องมีการเปรียบเทียบ Strike Price กับราคาปัจจุบันของสินค้าอ้างอิง (Spot Price) เสมอ ยกตัวอย่าง Call Options หรือสิทธิในการซื้อที่อ้างอิงดัชนี SET50 และมี Strike Price ที่ 900 จุด ระดับดัชนี 900 จุด จะเป็นตัวตัดสินว่าผู้ซื้อ Call Options จะมาใช้สิทธิหรือไม่ ถ้าระดับดัชนี SET50 ต่ำกว่า 900 จุด เช่น 880 จุด ผู้ซื้อ Call Options สามารถซื้อดัชนีในราคาตลาดได้ต่ำกว่าการใช้สิทธิ Call Options ดังนั้นการใช้สิทธิเพื่อเคลมส่วนต่างของราคาจาก Call Options ที่ถืออยู่จึงไม่เกิดประโยชน์ ผู้ซื้อ Call Options ก็ไม่ควรใช้สิทธิ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ตรงกันข้ามดัชนี SET50 อยู่ที่ระดับ 920 จุด ซึ่งสูงกว่า Strike Price ที่ 900 จุด การใช้สิทธิเพื่อซื้อดัชนี SET50 ที่ 900 จุด ก็จะเกิดประโยชน์จากส่วนต่างของราคา ผู้ที่ซื้อ Call Options ไว้ก็ควรใช้สิทธิ เป็นต้น

ผู้ลงทุนจะสามารถรู้ได้ว่า Options ที่ซื้อขายอยู่ใน TFEX นั้นแต่ละตัวเป็น Call Options หรือ Put Options ที่มีราคาใช้สิทธิเท่าได้จากตัวเลขที่อยู่ท้ายสัญลักษณ์ของ Options ตัวนั้นๆ เช่น S50H17C900 จะเป็น Call Options ที่มีราคาใช้สิทธิที่ 900 จุด ส่วน S50H17P925 จะเป็น Put Options ที่มีราคาใช้สิทธิที่ 925 จุด เป็นต้น

ในบทความตอนก่อนๆ ได้แนะนำเกี่ยวกับทิศทางของราคาสินค้าอ้างอิงที่ส่งผลต่อผู้ซื้อและผู้ขาย Options แตกต่างกัน เช่น ราคาสินค้าอ้างอิงที่ปรับตัวสูงขึ้นจะส่งผลดีต่อผู้ซื้อ Call Options และผู้ขาย Put Options เนื่องจากทำให้ผู้ซื้อ Call Options มีโอกาสในการมาเคลมสิทธิมากขึ้น และผู้ที่ขาย Put Options ไปมีโอกาสถูกเคลมสิทธิน้อยลง ส่วนราคาสินค้าอ้างอิงที่ปรับตัวลดลงจะส่งผลดีต่อผู้ขาย Call Options และผู้ซื้อ Put Options เนื่องจากทำให้ผู้ขาย Call Options มีโอกาสถูกเคลมสิทธิน้อยลง และผู้ซื้อ Put Options มีโอกาสมาเคลมสิทธิมากขึ้น

จากการที่ราคาใช้สิทธิเปรียบเทียบกับราคาของสินค้าอ้างอิงเป็นตัวกำหนดว่าผู้ซื้อ Options จะใช้สิทธิหรือไม่ ดังนั้นผู้ที่ต้องการขาย Options แล้วไม่อยากให้เกิดโอกาสในการที่ผู้ซื้อ Options จะไปใช้สิทธิก็อาจพิจารณาใช้มุมมองทางเทคนิคเพื่อเลือกระดับราคาที่ผู้ซื้อมีโอกาสมาใช้สิทธิน้อย เช่น กรณีต้องการขาย Call Options ถ้าราคาสินค้าอ้างอิงต่ำกว่า Strike Price ผู้ซื้อ Call Options จะไม่มาใช้สิทธิ ดังนั้นจึงอาจจะเลือกจังหวะตลาดในการขาย Call Options ในช่วงที่ตลาดเป็น Sideways Down หรือช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มทิศทางเป็นขาลง และเลือก Strike Price ที่อยู่บริเวณแนวต้านหรืออยู่เหนือแนวต้านเล็กน้อย เพราะราคาจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปยังเหนือจุดนั้นได้น้อย ส่วนคนที่ต้องการขาย Put Options ที่ราคาสินค้าอ้างอิงต่ำกว่า Strike Price ผู้ซื้อ Put Options จะไม่มาใช้สิทธิ จึงอาจเลือกจังหวะตลาดในการขาย Put Options ในช่วงที่ตลาดเป็น Sideways Up หรือช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มเป็นทิศทางขาขึ้น และเลือก Strike Price อยู่บริเวณแนวรับหรืออยู่ต่ำกว่าแนวรับเล็กน้อย เป็นต้น

ผู้ลงทุนที่ต้องการซื้อขาย Options ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Strike Price เนื่องจากเป็นระดับราคาที่ส่งผลต่อกำไรขาดทุนของผู้ซื้อขาย Options เพราะเป็นตัวตัดสินว่าผู้ที่ซื้อ Options ไปจะมาใช้สิทธิหรือไม่ โดยขั้นตอนการตัดสินใจซื้อขาย Options อาจใช้แนวทางในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อกำหนดสภาพตลาดและระดับราคาใช้สิทธิที่เหมาะสม สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถหาข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อขาย Options ได้จากโบรกเกอร์ที่ท่านใช้บริการ หรือเว็บไซต์ www.tfex.co.th