มุมมองการลงทุนปีวอก
โดย พิมเพ็ญ อิศรางกูร ณ อยุธยา ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย
โดย พิมเพ็ญ อิศรางกูร ณ อยุธยา ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย
จากบทความก่อนหน้าที่ได้สรุปสถานการณ์การลงทุนในปี 2558 ไปแล้ว มาฉบับนี้จะพูดถึงมุมมองการลงทุนในแต่ละภูมิภาค เพื่อเป็นแนวทางการจัดพอร์ตลงทุนในปีวอกนี้ ซึ่งอาจจะไม่ง่ายสมกับปีลิงกินกล้วยเท่าไรนัก เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงปกคลุมตลาดการเงินโลกอยู่ค่อนข้างสูง
เริ่มที่ฝั่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ โดยประเด็นเด่นคงหนีไม่พ้นเรื่องจังหวะการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FEDในปี 2559 ที่ตลาดยังต้องจับตา เพราะหากขึ้นเร็วหรือช้ากว่าที่ตลาดคาดอาจกดดันตลาดหุ้นในระยะสั้นได้ อีกทั้งราคาหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในระดับที่ใกล้เต็มมูลค่าและนับว่าค่อนข้างแพง ประกอบกับความน่าสนใจในการลงทุนน้อยลงจากอัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลงหลังธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ย จึงทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนหุ้นสหรัฐฯมีน้อย
ส่วนฝั่งยุโรป ธนาคารกลางยุโรปมีมติไม่ขยายวงเงินมาตรการ QE ตามที่คาด แต่กลับเพิ่มเพียงระยะเวลา โดยมองว่าเม็ดเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนนั้นเพียงพอต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้การบริโภคภายในประเทศที่เติบโตแข็งแกร่งจะเป็นตัวสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่กลุ่มประเทศรอบนอกยูโรโซน เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นชัดเจน เช่น สเปน นอกจากนี้ ค่าเงินที่มีแนวโน้มอ่อนค่าจากนโยบายทางการเงินที่สวนทางของสหรัฐฯและยุโรปจะช่วยหนุนผลประกอบการของบริษัทผู้ส่งออก ส่งผลดีต่อผลกำไรบริษัทจดทะเบียน หุ้นยุโรปจึงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ยังน่าเข้าลงทุนในปี 2559
ขณะที่ฝั่งเอเชียอย่างญี่ปุ่น แม้ว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาเบะยังไม่เป็นรูปธรรมชัดเจน แต่ภาครัฐก็ทยอยออกมาตรการสนับสนุนการเติบโตของกำไรผู้ประกอบการ เช่น ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้การปรับขึ้นค่าแรงของพนักงานเป็นอัตราสูงที่สุดในรอบหลายปี ก็ส่งผลบวกต่อกำลังซื้อในประเทศ นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนได้หากรับความผันผวนระยะสั้น
ส่วนพี่ใหญ่ของเอเชียอย่างจีน ผลกระทบจากมาตรการต่างๆ ของทางการยังเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนต่อเนื่องในปีนี้ โดยเพียงแค่เริ่มวันแรกของปี 2559 การปรับลดค่ากลางเงินหยวนอีกครั้ง ก็สร้างความตกใจแก่นักลงทุนทั่วโลก จนทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนกันถ้วนหน้า รวมถึงการปรับลดดอกเบี้ยถึง 6 ครั้งในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เชื่อว่ามาตรการต่างๆจะช่วยหนุนการเติบโตที่มีเสถียรภาพในระยะยาว และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจมาเป็นการบริโภคภายในประเทศ จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ระดับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำยังถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะ H Share เนื่องจากซื้อขายในราคาต่ำกว่า เมื่อเทียบกับ A Share นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูงจึงอาจพิจารณาเข้าลงทุนได้ในระยะยาว
ด้านอินเดีย นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังคงเป็นปัจจัยหลักที่หนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง ทำให้ธนาคารกลางอินเดียมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยได้อีก นอกจากนี้อินเดียยังได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ รวมถึงช่วยหนุนการบริโภคภายในประเทศ ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนจึงมีแนวโน้มเติบโตได้สูง การกระจายลงทุนในหุ้นอินเดียจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
มาที่ฝั่งไทยบ้านเรา นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ประกอบกับโครงการช่วยเหลือ SME ที่มุ่งหวังให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แรงหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโตได้ดี น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ อย่างไรก็ดีผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มทยอยปรับลง อาทิ ในกลุ่มสื่อสารเพื่อสะท้อนผลราคาประมูลคลื่นความถี่ที่สูงขึ้นมากและการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ ส่วนกลุ่มพลังงานเป็นการปรับลดเพื่อสะท้อนราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำลง ด้านกลุ่มธนาคารตลาดได้มีการปรับประมาณการกำไรสะท้อนปัญหาหนี้เสียไปมากแล้ว ซึ่งหากมีความชัดเจนว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวตามที่คาด คุณภาพลูกหนี้ของธนาคารจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นและทิศทางการปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าจะสิ้นสุดลง ทั้งนี้ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมามาก จึงนับว่าเป็นระดับ Valuation ที่ไม่แพงสำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว โดยบลจ. กสิกรไทยมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2559 ที่ระดับ 1,400 – 1,450 จุด คิดเป็น Forward PE ที่ 15.5 - 16 เท่า
สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ การทยอยขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯน่าจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศทรงตัวต่อเนื่องในปี 2559 ด้านอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของพันธบัตรรัฐบาลไทยน่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากอุปทานพันธบัตรระยะยาวปีงบประมาณ 2559 คงที่ แต่อุปสงค์โดยเฉพาะจากต่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามการโยกย้ายเม็ดเงินลงทุน จึงทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้มีแนวโน้มปรับตัวลง ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำ (ปรับตัวลงในปี 2558 เกือบ 40%) นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้นำเข้าน้ำมัน แต่ก็สร้างแรงกดดันต่อประเทศผู้ส่งออกโดยเฉพาะในกลุ่มตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี ภาวะอุปทานล้นตลาดประกอบกับอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมัน โดยบลจ.กสิกรไทยมองกรอบราคาในปี 2559 ที่ระดับ 35 – 45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ แม้ว่าราคาจะลงมาอยู่ที่ระดับกรอบล่าง แต่ความผันผวนยังคงมีสูงและยังมีโอกาสปรับตัวลงมาต่ำกว่ากรอบได้ในระยะสั้น นักลงทุนอาจหลีกเลี่ยงการลงทุน แต่เนื่องจากราคาลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำมาก อาจเข้าลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นหากสามารถรับความเสี่ยงได้ ด้านตลาดทองคำในปีที่ผ่านมาปรับตัวลดลงประมาณ 10% โดยมีการลงทุนเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยงในช่วงที่มีปัจจัยกระทบตลาดรุนแรง โดยบลจ.กสิกรไทยมองกรอบการลงทุนราคาทองคำในปี 2559 ที่ 1,000 – 1,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคา จึงแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนเนื่องจากความน่าสนใจมีจำกัด
กล่าวโดยสรุป จึงมองว่าในปีนี้ความผันผวนน่าจะยังมีอยู่สูงต่อเนื่อง ดังนั้นการกระจายการลงทุน (Diversify) และคัดเลือกการลงทุนที่เหมาะสม (Selective) จึงเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารพอร์ตการลงทุน นักลงทุนควรต้องติดตามปัจจัยต่างๆทั้งบวกและลบที่มีอิทธิพลและมีนัยต่อการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาการเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทด้วย
คำเตือน : ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
จัดทำ ณ วันที่ 5 มกราคม 2559


