posttoday

การเป็นนักลงทุน ที่ชาญฉลาด (ตอนที่ 11)

23 กรกฎาคม 2558

ในบทความก่อนๆ ผมได้พูดถึง INDICATOR ที่ผมมักใช้เป็นประจำแล้ว 3 ตัว สัปดาห์นี้ จะเริ่มต้นตัวที่ 4

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

ในบทความก่อนๆ ผมได้พูดถึง INDICATOR ที่ผมมักใช้เป็นประจำแล้ว 3 ตัว สัปดาห์นี้ จะเริ่มต้นตัวที่ 4

 4.DMI (DIRECTIONAL MOVEMENT INDEX) ซึ่งเป็นตัวที่บอกแนวโน้มว่าในขณะนั้นๆ หุ้นตัวนี้อยู่ในแนวโน้ม ขึ้น ลง หรือ SIDEWAY โดย INDICATOR ตัวนี้ประกอบด้วยเส้นชี้วัด 3 เส้น คือ

 4.1 เส้น DI+ (DIRECTIONAL INDICATOR +) เมื่อไรก็ตามที่เส้น DI+ อยู่เหนือเส้น DI- เมื่อนั้นหุ้นดังกล่าวมี
แนวโน้มขึ้น

4.2 เส้น DI- (DIRECTIONAL INDICATOR -) เมื่อไรก็ตามที่เส้น DI- อยู่เหนือเส้น DI+ เมื่อนั้นหุ้นดังกล่าวล่างมีแนวโน้มลง

4.3 เส้น ADX (AVERAGE DIRECTIONAL INDEX) เป็นตัวตอกย้ำความมั่นใจของแนวโน้มขึ้นหรือลง โดยถ้าเส้น ADX ขึ้นมากกว่า 25 (บางครั้งผมก็ใช้ค่าระหว่าง 20-25 โดยดูจากในอดีตว่าค่าไหนมีความแม่นยำ และให้สัญญาณที่รวดเร็วและดีที่สุด) อย่างเช่นช่วงที่ DI+ ตัด DI- ขึ้นไปแล้วเส้น ADX ไต่ระดับขึ้นไป โดยมีค่าเกิน 25 และยังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งตอกย้ำความมั่นใจในการขึ้นของหุ้นตัวนั้น ในทางกลับกัน ถ้าเส้น DI- ตัดเส้นตัดส้น DI+ ขึ้นไป และเส้น ADX ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนเกิน 25 และยังไต่ระดับขึ้นไปต่ออีก หมายความว่าหุ้นตั้วนั้นอยู่ในขาลงค่อนข้างแน่นอน

ซึ่งก็อีกเช่นเคย ผมใช่ DMI 3 เส้นนี้ ดูทั้งระดับ รายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน เช่นกัน เพื่อที่จะเห็นภาพที่

5.BOLLINGER BAND ซึ่งประกอบด้วยเส้น 3 เส้น คือ เส้น UPPER BAND, LOWER BAND และเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งปกติจะใช้ 20 วัน โดยเส้น UPER BAND และเส้น LOWER BAND จะสร้างกรอบของราคาที่มีระยะห่างจากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงกลาง ซึ่งระยะห่างของทั้งเส้น UPPER BAND และเส้น LOWER BAND จากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะเท่ากับ 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (STANDARD DEVIATION) ในช่วงที่หุ้นตัวนี้มีราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ระยะห่างของเส้น UPPER BAND และเส้น LOWER BAND จะน้อยมาก และเมื่อใดก็ตามที่ระยะห่างระหว่างเส้น UPPER BAND และเส้น LOWER BAND บีบตัวเข้าหากันจนแคบมากๆ นั่นหมายถึงการพร้อมที่จะมีการระเบิดของราคาหุ้นในระยะเวลาใกล้ๆ แล้ว โดยที่จะมีการระเบิดของราคาขึ้นหรือลงของราคา

ผมจะสังเกตว่า ถ้าราคาหุ้นในขณะนั้นขยับเข้าใกล้เส้น UPPER BAND ผมจะมองว่า หุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มที่จะมีการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ถ้าผมคิดจะซื้อ ก็จะรีบซื้อ ณ จุดนั้นทันที ในทางกลับกัน ถ้าราคาหุ้นในขณะนั้นลงมาใกล้เส้น LOWER BAND ผมจะมองว่าหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มที่จะระเบิดลงอย่างรุนแรง ถ้าผมมีผมอาจจะถือโอกาสนี้ขายหุ้นออกไปโดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะได้ราคาที่ต่ำลง ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนลดลง หรือพาลจะขาดทุนเสียด้วย

โดยปกติไม่ว่าราคาหุ้นจะระเบิดขึ้นหรือลง ส่วนใหญ่จะวิ่งไปแตะเส้น UPPER BAND ในกรณีหุ้นขึ้น และเส้น LOWER BAND ในกรณีหุ้นลง แล้วก็จะมีการกลับตัวของราคาหุ้น วิ่งเข้าสู่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามก็มีหลายครั้งจากประสบการณ์ของผมที่ราคาหุ้นวิ่งทะลุเส้น UPPER BAND หรือ LOWER BAND ได้ในกรณีที่เกิดภาวะ OVERBOUGHT หรือ OVERSOLD ได้ตามลำดับ

ซึ่งถ้าท่านเป็นคนช่างสังเกต อาจจะดูจากรูปแบบในอดีตของหุ้นตัวนั้นว่า ในช่วงที่ขึ้นหรือลง มีบ่อยครั้งแค่ไหนที่ทะลุเส้น UPPER BAND และ LOWER BAND ตามลำดับ ถ้าเกิดขึ้นบ่อยครั้งช่วงที่ขึ้นไปแตะเส้น UPER BAND ถ้าเป็นนักเก็งกำไรก็อาจจะขายไปสัก 1/3 หรือ 1/2 ของหุ้นที่มี แล้วรอดูไปอีกสัก 1-3 วัน แล้วค่อยพิจารณาขายส่วนที่เหลือ ในช่วงที่ราคาหุ้นเริ่มกลับตัวลง ในทางกลับกัน ถ้าราคาหุ้นลงไปแตะเส้น LOWER BAND ถ้าท่านคิดจะซื้อหุ้นตัวนี้ ก็อาจจะแหย่เข้าไปสัก 1/3 หรือ 1/2 แล้วรอดูไปอีกสัก 1-3 วัน แล้วค่อยพิจารณาซื้อเพิ่มเรื่อยๆ แบ่งเป็นการซื้อหลายๆ ครั้งก็ได้

เนื้อที่หมดแล้ว เรามาดูว่าตัว INDICATOR ตัวต่อไปที่ผมใช้วิเคราะห์มีตัวไหนอีกในสัปดาห์หน้ากันครับ

 

ข่าวล่าสุด

SCB WEALTH กวาด 6 รางวัลระดับโลก สะท้อนความเป็นเลิศในทุกมิติการบริหารความมั่งคั่ง