ลงทุนต่างประเทศกับกองทุนรวม
โดย..เสาวนีย์ สุวรรณรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมความรู้ด้านการเงิน สำนักงานก.ล.ต
โดย..เสาวนีย์ สุวรรณรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมความรู้ด้านการเงิน สำนักงานก.ล.ต
“กระจายความเสี่ยง สร้างโอกาสได้ผลตอบแทน” ในเมื่อการลงทุนในประเทศดูนิ่งๆ เนือยๆ คำเชิญชวนให้ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศจึงเป็นที่น่าสนใจกับผู้มีเงินออมทั้งหลาย
กองทุนรวมต่างประเทศ Foreign Investment Fund หรือ FIF เป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 80% ของ NAVที่พบเห็นในไทยมี 2 รูปแบบคือ
(1) กองทุนนำเงินไปลงทุนในหุ้น พันธบัตร ตราสารหนี้ หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนของต่างประเทศโดยตรง และ (2) กองทุนนำเงินไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมในต่างประเทศ ซึ่งมี 2 แบบคือ แบบที่ 1 ลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนึ่งเป็นหลัก (ไม่น้อยกว่า80% ของ NAV) เรียกว่า Feeder fund ส่วนกองทุนในต่างประเทศนั้นเรียกว่าMaster fund และแบบที่ 2 ไปลงทุนในหลายๆ กองในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV เรียกว่า Fund of funds
เวลาจะตัดสินใจ อย่าดูแค่ว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าไร ขอให้เข้าใจความเสี่ยงและสิ่งที่ต้องรู้ก่อนลงทุนด้วย
(1) ความเสี่ยงของประเทศนั้นและตราสารที่กองไปลงทุนซึ่งต้องตามข่าวสารให้ทันทั้งระดับมหภาค (ภาวะเศรษฐกิจการเมือง) ระดับอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เน้นไปลงทุนในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง และระดับธุรกิจหรือบริษัท รวมไปถึงความเสี่ยงเฉพาะตัวของหลักทรัพย์ที่ไปลงทุนด้วย (เช่น หุ้นเสี่ยงมากกว่าหุ้นกู้, หุ้นกู้เสี่ยงมากกว่าเงินฝาก, หุ้นกู้ต้องดู credit rating) นอกจากนี้ บางประเทศอาจมีกฎเกณฑ์จำกัดการนำเงินออกนอกประเทศในบางสถานการณ์ด้วย
(2) ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งมีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับ เช่น หากเราขายหน่วยลงทุนไปในวันที่บาทมีค่าแข็งขึ้น เราจะได้เงิน (บาท) น้อยลง เช่น อัตราแลกเปลี่ยนวันนั้น 29บาท/USDเราขายหน่วยลงทุนที่ราคา USD 12 จะได้เงิน 348บาท แต่ถ้าในวันดังกล่าวเงินบาทมีค่าอ่อนลง เช่น อัตราแลกเปลี่ยนวันนั้น 33 บาท/USD เราขายหน่วยลงทุนที่ USD 12จะได้เงิน 396 บาท นั่นคือเราได้เงินกลับมามากกว่า
การทำป้องกันความเสี่ยงมีประโยชน์หากค่าเงินบาทจะแข็งขึ้น เช่น ทำป้องกันไว้ที่ 30 บาท/USD ไม่ว่าวันที่เราขายหน่วยลงทุนอัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นอย่างไร เราจะได้ใช้ 30 บาท/USD คิดเป็นเงิน360 บาท ซึ่งดีกว่า 348 บาทหากไม่ทำการป้องกัน (ตามตัวอย่างข้างต้น) ตรงกันข้ามหากวันนั้นเงินบาทอ่อนค่าลงเราก็จะเสียโอกาสที่จะได้รับ 396 บาท การทำป้องกันความเสี่ยงมีค่าใช้จ่ายกับกองทุน (ซึ่งคือเงินลงทุนของเรา) ปัจจุบัน FIFมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงนี้3 รูปแบบ ได้แก่ แบบที่ 1ป้องกันความเสี่ยงเกือบทั้งจำนวน (fully hedge)แบบที่ 2ป้องกันความเสี่ยงบางส่วน เช่น 50% ของเงินลงทุน ส่วน 50% ที่เหลือให้เป็นดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน และ แบบที่ 3เป็นดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งอาจจะป้องกันหรือไม่ป้องกันก็ได้
(3) ความเสี่ยงจาก Time zoneที่ไม่ตรงกับไทยมีผลกับเวลาเปิด-ปิดตลาดที่ซื้อขายตราสารที่กองไปลงทุน ซึ่งมีผลต่อไปยังการคำนวณ NAV ระยะเวลาขายคืน ไถ่ถอนตราสาร การรับและชำระเงินที่ต่างประเทศ ดังนั้น การประกาศ NAV ของ FIF จึงอาจล่าช้ากว่ากองทุนรวมในประเทศ และการได้รับค่าขายคืนก็มักจะใช้เวลามากกว่าด้วย
(4) ค่าธรรมเนียมในส่วนที่เหมือนกับกองทุนรวมทั่วไป FIF มีการเก็บค่าธรรมเนียม 2 ส่วน คือส่วนที่เก็บจากกองทุน (ซึ่งคือเงินลงทุนของเรา) คำนวณหักกลบใน NAV แล้ว และส่วนที่เก็บเป็นครั้งๆ เมื่อเราซื้อและขายหน่วยลงทุน เราควรพิจารณาเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมทั้งหมดก่อนตัดสินใจลงทุน และส่วนที่ต่างจากกองทุนรวมทั่วไป คือ กรณีของ Fund of funds และ Feeder fund จะมีค่าธรรมเนียมที่กองทุนต่างประเทศเก็บอยู่แล้ว และมีค่าธรรมเนียมที่กองทุนไทยเรียกเก็บด้วย ซึ่งค่าธรรมเนียมที่กองทุนไทยเก็บนี้ควรสอดคล้องกับการบริหารจัดการ เช่น การจัดการลักษณะ passive ควรเก็บค่าธรรมเนียมต่ำกว่า active
(5) ระวังกองทุนเถื่อน ในช่วงที่ FIF กำลังได้รับความสนใจ มีมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาทำทีชวนลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ ฟิวส์เจอร์ส ออปชั่นส์ หรือเงินตราต่างประเทศ ผู้ลงทุนจึงต้องตรวจสอบว่าบริษัทที่มาชักชวนได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า จาก ก.ล.ต. หรือไม่ ที่ www.sec.or.th >> license check หรือโทร. 1207
“ก.ล.ต. อยากให้คนไทยลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง”


