ออมจากน้อยเป็นร้อยล้าน ( ตอนที่ 1)
โดย กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
โดย กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์
ปัจจุบันถ้าเดินเข้าไปในร้านหนังสือ จะพบว่าหนังสือเกี่ยวกับการออมเงิน การลงทุนทั้งหุ้น อสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวม ยังเป็นประเภทที่ยอดนิยม ดูจากอันดับหนังสือขายดี ไม่ว่าจะเป็น SE-ED B2S นายอินทร์ และคิโนะคุนิยะ ทำให้มีหนังสือแนวนี้ออกมาวางจำหน่ายมากมาย นับเป็นนิมิตหมายที่ดีที่คนไทยเริ่มตื่นตัวค้นคว้าหาความรู้ทางด้านนี้
ในความคิดของผม กระทรวงศึกษาน่าจะบรรจุหลักสูตรเรื่องการออมเงินเข้าไปในหลักสูตรการศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมต้น เผื่อว่านักเรียนบางคนที่จบ ม. ต้น แล้วไม่ศึกษาต่อ หรืออาจจะไม่ต่อมัธยมปลาย แต่ไปเรียนสาย อาชีวะ ปวช. ปวส. เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ที่จะกลายเป็นอนาคตของชาติ มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการออมอย่างถูกต้อง
ผมเคยลองถามคนรู้จักเกี่ยวกับเรื่องการออมเงิน โดยผมเริ่มจากถามว่า เมื่อเขามีรายได้เข้ามา แล้วจัดการกับเงินออมก้อนนี้อย่างไร ประมาณ 50% จะตอบว่า จะใช้ก่อนแล้วที่เหลือก็จะเก็บออม ซึ่งแค่เริ่มต้นก็ผิดแล้ว MINDSET ในการออมเงินที่ถูกต้องของการออมเงินก็คือ ควรจะกันเป็นเงินออมไว้ก่อน แล้วค่อยนำเงินที่เหลือไปใช้ มิฉะนั้นด้วยสิ่งล่อใจ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณา ความยั่วยวนของผลิตภัณฑ์ หรือบริการ คำชักชวนหรือแนะนำจากเพื่อนๆตัวดี ซึ่งจะทำให้เงินในกระเป๋าของท่านไม่เหลือ
บางท่านยิ่งแล้วใหญ่ ไปกู้หนี้ยืมสิน ไม่ว่าจะเป็น หนี้ในระบบสถาบันการเงิน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่ออเนกประสงค์ หรือสินเชื่อส่วนบุคคล อัตราจะมหาโหด คือ ประมาน 20% บวกลบ ยิ่งรัฐบาลส่งเสริมเศรษฐกิจ NANO FINANCE เพื่อปล่อยกู้ให้กับบุคคลทั่วไป เพื่อนำไปใช้ประกอบอาชีพ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยประเภทนี้ยิ่งแพงขึ้นไปอีก คือประมาน 28-36% แต่ก็ยังต่ำกว่าดอกเบี้ยนอกระบบที่คิดดอกเบี้ยถึง 4-5% ต่อเดือน
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหล่านี้ สูงมากขนาด Warren Buffet นักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้เพียง 20% กว่าๆเท่านั้น แล้วทำไมจะมากู้เงินเพื่อไปใช้จ่ายที่อัตราดอกเบี้ยสูงขนาดนี้ เป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ
เซลล์ท่านหนึ่งที่ผมติดต่อด้วย ทำบัตรเครดิตแล้วเบิกเงินสดล่วงหน้ามา เพื่อจะพาครอบครัวไปเที่ยวญี่ปุ่น เพราะว่าทนรบเร้าจากลูกๆไม่ได้ ผมฟังเขาเล่าแล้วอดหดหู่ใจไม่ได้ แทนที่เขาจะสอนลูกให้รู้จักประหยัด กลับตามใจลูกในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขณะนี้ก็มากลุ้มใจกับหนี้บัตรเครดิต อยากจะปลดหนี้เร็วๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร จนต้องมาปรับทุกข์กับผม ผมจึงแนะนำไปว่า เขาควรจะทำตารางค่าใช้จ่ายทุกๆวัน ทุกๆรายการ พอสิ้นเดือนนอกจากจะคำนวณรวมค่าใช้จ่ายแล้ว ควรจะตรวจดูรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ ว่ามีอะไรบ้างที่ไม่จำเป็น ก็ควรเอาปากกาหมึกแดงมา Mark ไว้ แล้วเตือนตัวเองในการใช้จ่ายครั้งต่อๆไป
อย่างเช่นการซื้อกาแฟดื่มสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ปัจจุบันกาแฟถ้วยหนึ่งราคาตั้งร้อยกว่าบาทเลยทีเดียว ปีหนึ่งดื่มร้อยกว่าถ้วย ตกแล้วปีหนึ่งถึงเกือบ 15,000 บาท นี่ยังไม่นับ Cookie หรือ Cake ที่ทานไปพร้อมกับการละเลียดกาแฟ ถ้ารวมเข้าไปแล้วปีหนึ่งๆ แค่ค่าใช้จ่ายไร้สาระนี้ก็เกือบ 30,000 บาท เข้าไปแล้ว
ผมเองตั้งแต่มีร้านกาแฟสาขาชื่อดังจากเมืองนอกเข้ามา ผมไม่เคยซื้อดื่มเองแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยความรู้สึกว่ากาแฟถ้วยหนึ่งราคาเท่ากับข้างแกง 4 จานเลยทีเดียว ผมไปเที่ยวสหรัฐเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว จำได้ว่า เดินเข้าไปในร้านกาแฟยี่ห้อนี้ ผมลองเทียบกับราคากาแฟร้านนี้ในประเทศไทย ปรากฏว่า ราคาที่เมืองไทยยังแพงกว่าที่สหรัฐเสียอีก ( ถ้าปัจจุบันราคากาแฟนี้ที่สหรัฐยังไม่ได้ขึ้นราคาไปมากกว่าเมื่อ 7-8 ปีที่แล้วมากนัก )
นอกจากกาแฟร้านดังกล่าวแล้ว ร้านอื่นๆก็ไม่ได้เงินจากผมเช่นเดียวกัน เนื่องจากผมเป็นคนที่ไม่ติดกาแฟ มีก็ดื่ม ไม่มีก็ไม่ดื่ม และราคากาแฟก็ถีบตัวขึ้นสูงมาก เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ แม้กระทั่ง กาแฟรถเข็น เห็นเดี๋ยวนี้ขายถ้วยละ 35-45 บาทกันแล้ว ค้ากำไรเกินควร ว่างๆอยากให้ท่านสรรพากรไปเช็คดูรายได้เหล่าบรรดารถเข็นเหล่านี้ บางรายขายได้วันละมากกว่า 200 ถ้วย ยอดขายปีๆหนึ่งมากกว่า 2 ล้านบาท แต่พ่อค้าแม่ค้ารถเข็นเหล่านี้ เป็นอภิสิทธิ์ชน คือมีรายได้อยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษี แต่ไม่เคยเสียภาษีเลย
ขณะที่พนักงาน Office หลายรายมีรายได้ต่ำกว่านี้ ถูกสรรพากรถอนขนท่านจบแทบไม่มีเหลือ จริงๆแล้ว ถ้าสรรพากรตามเก็บภาษี กับพวกพ่อค้าแม่ค้าทั้งรถเข็น และแผงลอย จับมาเข้าระบบภาษีให้หมด ปีๆหนึ่ง น่าจะเก็บภาษีได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
นอกจากกลุ่มผู้ค้าเหล่านี้ไม่เสียภาษีแล้ว ยังครอบครองพื้นที่ 1/3-1/2ของพื้นที่บาทวิถี ราวกับเป็นเจ้าของทางเดินเท้าเอง ยิ่งกลุ่มผู้ค้าบริเวณสยามสแควร์ พวนนี้เดือนๆหนึ่งมียอดขายไม่ใช่น้อยเลย ไม่ต้องเสียภาษี ค่าที่ก็ไม่ได้จ่ายให้จุฬา ขับไล่ก็ไม่ไป เบียดบังทางเดิน จนคนเดินเท้าต้องลงไปเดินบนถนน หรือเดินเบียดเสียดยัดเยียดกัน นี่แหละ Thailand only
อ่านต่อฉบับหน้านะครับ