สัญญาณถึงมิตรเทียม
โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย
โดย...ณ กาฬ เลาหะวิไลย
การขยับตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ประชุมร่วมกับกลุ่มนักธุรกิจจีน กลายเป็นประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
มองเผินๆ เหมือนกับการทำความเข้าใจกับนักลงทุนกลุ่มใหญ่เท่านั้น
แต่ทว่านัยที่ส่งออกมา กลับกลายเป็นสัญญาณที่ชัดเจน
เพราะกลุ่มนักธุรกิจที่เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ล้วนแต่เป็นบริษัทระดับบิ๊กของจีน ขึ้นแท่นระดับโลกไปเรียบร้อย
อาทิ ธนาคารไอซีบีซี บริษัทก่อสร้างอย่างซิโนไฮโดร บริษัทรถยนต์เซี่ยงไฮ้มอเตอร์ บริษัท ไฮเออร์ ผู้ผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ
นั่นคือการส่งสัญญาณว่า ไทยพร้อมให้นักธุรกิจจีนเข้ามาช่วยลงทุนโดยสอดรับกับยุทธศาสตร์จีนที่ต้องการเชื่อมโยงกับอาเซียน เพื่อพัฒนามณฑลทางใต้ เปิดทางออกสู่ทะเล รวมถึงต้องการผลด้านความมั่นคง
จีนมีเงินและแสวงหาพันธมิตรทั้งด้านธุรกิจ การเมือง
นี่แหละสิ่งที่จะทำให้บรรดาประเทศต่างๆ ต้องคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา
เพราะขณะที่ไทยกำลังบอบช้ำจากปัญหาภายในและต้องการระยะเวลาในการเยียวยา โดยหวังบรรดามิตรประเทศจะยื่นมือมาให้ด้วยความเข้าใจ แต่สหรัฐกลับทำเหมือนยื่นเท้ามาให้เสียฉิบ
ทั้งหมดยิ่งทำให้นึกไปถึงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540
ครั้งนั้นไทยเคยขอความช่วยเหลือจากสหรัฐ ก่อนการกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพราะนึกว่าเป็นมหามิตร
แต่สหรัฐบอกปัดเพราะคิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเอง ถ้าให้ไทยกู้ สหรัฐก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
ที่น่าเจ็บใจกว่านั้น ก็คือ สหรัฐกลับกดดันผ่านไอเอ็มเอฟให้ใช้ยาแรงกับไทยเอาให้หนักข้อในการเยียวยาเศรษฐกิจ
และสุดท้าย บิล คลินตัน เขียนหนังสือสารภาพตอนพ้นตำแหน่งประธานาธิบดี ว่าเสียดายที่ไม่ได้ให้เงินช่วยเหลือไทยตั้งแต่แรก
นี่แหละ โฉมหน้าสหรัฐ
ไม่แปลกที่ในขณะนี้ทำไมคนไทยถึงมีปฏิกิริยากับสหรัฐอย่างรุนแรง ถึงขนาดลงชื่อขับไล่ คริสตี เคนนีย์ พ้นจากเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย และโลกออนไลน์ก็เคลื่อนไหวต่อต้านสินค้าสหรัฐ
เมื่อสหรัฐกระทำกับมิตรประเทศเช่นนี้ ก็ชอบแล้วที่ไทยจะหันไปหามิตรที่มีน้ำใจช่วยเหลือยามที่มิตรต้องการ
และเรื่องทั้งหมด คงต้องจดจำกันไว้ บอกต่อสอนกันไปชั่วลูกชั่วหลาน
ถึงนิสัยถาวรของมิตรคอฟฟี่เมต หรือมิตรเทียมอย่างอเมริกา


