เตือนก่อนบรรลัย
หากหยุดความเห็นแก่ตัวรับรู้แต่คำสั่งคนคนเดียว ทำเพื่อคนคนเดียว ท่านจะตาสว่างได้รู้ถึงความต้องการของมหาชนในขณะนี้
โดย...อสนีบาต
น่าชื่นชม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อการวางบทบาทนายกรัฐมนตรีของบ้านนี้เมืองนี้เสียเหลือเกิน เพราะเธอสามารถบริหารประเทศด้วยการปิดโสตประสาท เหมือนไม่รับรู้อะไรเลยว่าสถานการณ์ขณะนี้กำลังเข้าสู่ภาวะความอึมครึม อันเนื่องมาจากส.ส.เพื่อไทยทำงานได้อย่างแข็งขันผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทางการเมือง
ไม่น่าเชื่อ เสียงค้านทั่วเมือง ทั้งจากฝ่ายค้าน ตั้งเวทีปราศรัยสถานีรถไฟสามเสน เครือข่ายนักศึกษาเพื่อการปฎิรูปประเทศ(คปท.) ปักหลักชุมนุมแถวอุรุพงษ์ แถมยังมีกองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ(กปท.) ชุมนุมสวนลุมพินี แต่นายกฯกลับไม่รู้สึกรู้สา
ไม่เพียงเท่านั้น นักวิชาการด้านกฎหมาย จะนิติราษฎร์ หรือ ม.ธรรมศาสตร์ จุฬาฯ นิด้า ม.รังสิต ออกแถลงการณ์แนวทางเดียวกัน ในทำนองว่าการตัดต่อพันธุกรรมร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจากฉบับเดิมให้นิรโทษเฉพาะผู้ชุมนุม กลายมาเป็น นิรโทษ ให้แกนนำ ผู้สั่งการ พ่วงด้วยพวกโกงกิน ถือว่าผิดข้อบังคับประชุมสภา ข้อที่117 วรรค 3 ที่มีการแก้ไขหลักการเดิมในชั้นแปรญัตติผิดทั้งการขัดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แต่นายกฯไม่รู้เรื่อง
เช่นเดียวกัน เครือข่ายนักธุรกิจต่อต้านคอร์รัปชัน กลุ่มแพทย์ที่ไม่ได้รู้แต่เรื่องรักษาคนไข้อย่างเดียวแต่คุณหมอยังตระหนักรู้ถึงหายนะชาติที่กำลังจะเกิดต่างออกมาแสดงจุดยืนคัดค้านร่างกฎหมายนิรโกงอย่างถึงที่สุด ทว่าผู้นำประเทศไม่มีความรู้สึกผิดปกติอะไรเลย ว่าเหตุใดถึงมีแรงกระเพื่อมไปยังทุกสาขาอาชีพ
แม้แต่มวลชนเสื้อแดงกำแพงเหล็กที่เป็นฐานให้เหล่านักการเมืองเพื่อไทยเหยียบกบาลขึ้นสู่อำนาจออกมาส่ายหน้าแกนนำแดงป่วนเมือง รวมถึงส.ส.เพื่อไทย
จากที่เคยสัญญิงสัญญาไม่ขอรับการนิรโทษกรรม จะนำคนสั่งฆ่าประชาชนมาลงโทษ สุดท้ายเล่นละครปาหี่ ตอน มารแยกร่าง ด้วยการกระดกลิ้นระดับ "โอ๊คเรียกแขก" อ้างไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมสุดซอยแต่จู่ๆดันมือ งอก สนับสนุนร่างนิรโทษฉบับเนรคุณเสื้อแดงซะงั้น ครั้นมองนายกฯภายใต้หมวกส.ส.พรรคอีกใบ ไม่รู้ตามเคยต่อปรากฎการณ์แดงเอือมระอา
หรือเหตุการณ์แสนสมเพช กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ขอย้ำนี่คือส่วนราชการของรัฐบาล ออกหนังสือราชการด่วน ลงวันที่ 31 ต.ค.56 สั่งทุกอำเภอขึ้นคัตเอาต์ ชี้นำเสร็จสรรพ ด้วยข้อความประมาณว่า “บ้านเมืองนี้จะเกิดความปรองดองขึ้นได้ ต้องสนับสนุนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมทางการเมือง” แต่เมื่อนักข่าวพลเมืองรู้ถึงความห่วงใยบ้านเมือง ออกมาสื่อสารกระจายไปทั่วสังคมโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดรายการกลับลำกระทันหันผ่านอธิบดีกรมการปกครอง ที่ทำงานว่องไวไม่ต่างกับ ส.ส.เพื่อไทยเร่งปั๊มกม.นิรโกงตอนตีสี่นั่นแหละ ด้วยการออกหนังสือด่วนอีกฉบับลงวันที่ 1 พ.ย.56 สั่งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ระงับการ-ขึ้นคัทเอาต์ อ้างว่าข้อความที่ให้เผยแพร่คลาดเคลื่อน จากแนวนโยบายกรมการปกครอง ทั้งที่เมื่อตอนสายๆวันเดียวกัน ใครก็ไม่รู้ในกระทรวงคลองหลอดให้สัมภาษณ์สื่อ ยอมรับ กรมการปกครองออกหนังสือให้ขึ้นป้าย ซึ่งไม่ได้บังคับจะขึ้นป้ายหรือไม่ก็ได้
พึงพิจารณา ระหว่าง"คำสั่งระงับ" กับคำกล่าว "ไม่ได้บังคับ" ให้ขึ้นป้ายคนละเรื่องกันเลย คำกล่าวอันพลิกพลิ้วเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อออกจากปากข้าราชการ นึกว่ามาจากนักการเมืองสายพันธุ์ขี้ข้าเสียอีก
แต่ช้าก่อนลองหันไปถามนายกฯผู้เป็นหัวหน้าบังคับบัญชาส่วนราชการทั้งหมด รู้หรือไม่ กระทรวงมหาดไทยขันแข็งให้ฝ่ายปกครองทั้งหมดล้างสมองประชาราษฎร์สนับสนุนกม.นิรโทษกรรม คำตอบคงอีหรอบเดิม เป็นเรื่องของสภาค่ะ ตอบแบบนี้สมควรควรย้อนถาม แล้วมหาดไทยซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร ส.ไส่เกือกอะไร ดันไปยุ่งกับเรื่องของสภา
ในสถานการณ์ที่ทุกวงการสาขาอาชีพรับรู้ ไอ้ร่างกฎหมายนิรโกง กำลังเป็นต้นเหตุปลุกชนวนให้ผู้คนออกมาเดินท้องถนน กระจายตัวเต็มพรึ่บไปหมด ทั้งสามเสน อุรุพงษ์ สีลม ราชดำเนินฯลฯ แม้แต่สังคมโซเชียลมีเดีย เปลี่ยนภาพหน้าจอด้วยข้อความ ต้านกฎหมายนิรโทษกรรม อย่างพร้อมเพียง
แต่ผู้นำประเทศก็ยังไม่รู้อะไรเลย ได้แต่ออกมาวิงวอนให้คำนึงถึงหลักเมตตาธรรม
คำกล่าวนี้ควรย้อนกลับไปที่ผู้มีอำนาจมากกว่า ตั้งแต่บริหารประเทศมาจนบัดนี้ มีเมตตาธรรมที่จะบริหารเพื่อประโยชน์ส่วนรวมสักทีได้ไหม หากหยุดความเห็นแก่ตัวรับรู้แต่คำสั่งคนคนเดียว ทำเพื่อคนคนเดียว ท่านจะตาสว่างได้รู้ถึงความต้องการของมหาชนในขณะนี้
นี่จึงเป็นความปรารถนาดี เตือนกันไว้ก่อนที่เธอจะนำพารัฐนาวาบรรลัยวายวอด
เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ปล่อยให้ผู้มีอำนาจนอกประเทศชี้นำ